อาการตกขาว ผิดปกติของผู้หญิง

อาการตกขาว เป็นของเหลวที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยทำความสะอาด ชุ่มชื้น และป้องกันช่องคลอดจากการติดเชื้อต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงทุกคนควรสังเกตสีของ อาการตกขาว เป็นอย่างมาก เนื่องจากสีของ อาการตกขาว สามารถบ่งบอกถึงการผิดปกติของร่างกายได้ โดยปกติแล้ว สีของการตกขาวจะเป็นสีขาว ใส หรือเล็กน้อยที่มีความขุ่นอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด การติดเชื้อหรือผิดปกติบางอย่างในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ การเฝ้าระวังสีและลักษณะการตกขาวเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากและหากมีการเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติใดๆ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาให้เหมาะสม

อาการตกขาว ผิดปกติของผู้หญิง

อาการตกขาว ที่ผิดปกติมีสีอะไรบ้าง

เนื้อหาสรุป

สีของ อาการตกขาว ที่ผิดปกติสามารถแบ่งออกเป็นหลายสี ได้แก่

  • ตกขาวสีขาว ครีม เหลืองอ่อน หรือสีเหมือนเปลือกไข่
    • หากพบว่ามีตกขาวสีขาวใส หรือสีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น ถือเป็นลักษณะทั่วไปของตกขาวที่หลั่งออกมาเพื่อหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นกับช่องคลอดไม่ได้เป็นอาการที่ผิดปกติแต่อย่างใด แต่ตกขาวที่ผิดปกติ จะมีสีที่แตกต่างไปจากเดิมที่คุณเคยเจอ ที่สำคัญ ตกขาวจะมีกลิ่นเหม็น และมีลักษณะเป็นก้อนหนาๆ
  • ตกขาวสีเขียวอ่อน หรือเหลืองปนเขียว
    • หากพบว่ามีตกขาวสีนี้ ร่วมกับรู้สึกระคายเคืองบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย ตกขาวจะมีกลิ่นคาว แสดงว่าอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
  • ตกขาวสีชมพูอ่อน
    • อาจหมายถึงว่ากำลังจะเริ่มเป็นประจำเดือน หรือมีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งพบในกรณีที่เป็นคุณแม่หลังคลอดบุตร เรียกง่ายๆ ว่า น้ำคาวปลา คือ ของเหลวที่ขับออกผ่านทางช่องคลอด มีกลิ่นเหม็นอับ และอาจมีสีที่แตกต่างกันนับจากวันที่คลอดบุตร โดยอาการนี้ จะคงอยู่ในช่วงระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ และหมดไปได้เองภายใน 4-6 สัปดาห์
  • ตกขาวสีน้ำตาลแดง หรือสีแดง
    • หากพบว่าตกขาวมีสีคล้ายเลือดปะปนออกมา อาจหมายถึงประจำเดือนที่ยังตกค้างอยู่ หรือมีการติดเชื้อที่ปากมดลูก เนื่องจากเลือดออกจากการตกไข่ อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย
  • ตกขาวสีเทา
    • อาจหมายถึง การอักเสบที่บริเวณช่องคลอด และปากมดลูก จากเชื้อแบคทีเรียผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือเป็นสัญญาณของภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะอาการร่วมอย่าง รู้สึกคัน ระคายเคืองช่องคลอด มีกลิ่นเหม็น มีรอยแดงที่ปากช่องคลอด เป็นต้น
Quicky

หากผู้หญิงมีตกขาวที่มีสีผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น อาจเป็นเชื้อแบคทีเรีย หรือย่อมว่าเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือภาวะที่อันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิงในอนาคต

อาการตกขาว ที่ผิดปกติส่งผลเสียอย่างไร

อาการตกขาว ที่ผิดปกติส่วนใหญ่จะหมายถึงการติดเชื้อในช่องคลอด โดยโรคที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

โรคเชื้อราในช่องคลอด

การติดเชื้อเยื่อบุช่องคลอดส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ CANDIDA ALBICANS แต่บางบุคคลอาจเกิดจากเชื้อราชนิดอื่นได้ มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อการติดเชื้อเช่นโรคเบาหวาน, การใช้ยาปฎิชีวนะเป็นเวลานาน, การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากภายนอก เช่นการใช้ยาคุมกำเนิด, ภาวะตั้งครรภ์, ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นการติดเชื้อเอชไอวี และการได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน อาการของโรครวมถึงการตกขาวที่มีลักษณะเหมือนแป้งเปียก, มีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด, หรือมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด, ปัสสาวะแสบขัด, เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ การวินิจฉัยโรคจะต้องพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด สำหรับการรักษาใช้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีรูปแบบต่าง ๆ เช่นยาครีม, ยาเหน็บช่องคลอด และยากลืน เช่น Clotrimazole, Miconazole, Tioconazole, Fluconazole ตามคำแนะนำของแพทย์ การรักษาจะช่วยให้ร่างกายหายจากอาการและการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

โรคติดเชื้อทริโคโมแนส

เชื้อโปรโตซัว TRICHOMONAS VAGINALIS (TV) เป็นสาเหตุของโรคนี้ซึ่งมักติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ อาการของโรครวมถึงตกขาวที่มีสีเขียวและมีกลิ่นเหม็น ความเจ็บปวดและคันบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด อาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มักมีการอักเสบและบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด พบจุดเลือดออกบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกที่มีลักษณะเรียกว่า “Strawberry cervix” แนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole พร้อมรับการรักษาคู่นอนด้วย

โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

เป็นลักษณะอาการอักเสบในช่องคลอดของผู้หญิง เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอด อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน และมี อาการตกขาว ที่ผิดปกติดังกล่าวไปข้างต้น พบมากในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 15-50 ปี มีอาการเด่นๆ ให้สังเกตเห็นได้ดังต่อไปนี้

“ChatLove2test"
  • ตกขาวสีเทา สีเขียว หรือสีขาวที่เป็นฟองหรือแผ่น
  • คัน และระคายเคืองบริเวณช่องคลอด
  • รู้สึกแสบร้อนเวลาปัสสาวะ
  • ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นคาวปลา และเหม็นรุนแรงขึ้นหลังมีเซ็กส์

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ

ในช่องคลอดมักจะมีแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ที่อยู่รวมกัน เช่นแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) และแอนแอโรบส์ (Anaerobes) โดยทั่วไปแล้ว แบคทีเรียชนิดดีจะช่วยรักษาสมดุลในช่องคลอด แต่ถ้ามีแบคทีเรียชนิดไม่ดีมากเกินไปจะทำให้สมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอดเสียและเกิดภาวะ Bacterial Vaginosis ได้

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่อาจทำให้เกิดภาวะ Bacterial Vaginosis ได้ เช่นการสูบบุหรี่ การสวนล้างช่องคลอด การใส่ห่วงคุมกำเนิด โดยเฉพาะในสตรีที่มีประจำเดือนกะปริดกะปรอยร่วมด้วย การตั้งครรภ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิด Bacterial Vaginosis มากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายขณะตั้งครรภ์ การร่วมเพศกับคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนใหม่ และการไม่สวมถุงยางอนามัยหรือไม่ใช้แผ่นยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีอาการผิดปกติของช่องคลอด ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

การตรวจวินิจฉัยโรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

สำหรับการตรวจช่องคลอดอักเสบนั้น แพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพของผู้ป่วยและทำการตรวจด้วยวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งก่อนทำการตรวจไม่ควรทำความสะอาดบริเวณช่องคลอด หรือเช็ดล้าง เนื่องจากตกขาวที่มีหรือกลิ่นอันไม่พึงประสงค์อาจหายไปในตอนที่ตรวจ ทำให้การวินิจฉัยของแพทย์ไม่แม่นยำ วิธีการตรวจ ได้แก่

  • การตรวจภายใน : โดยการสังเกตบริเวณโดยรอบช่องคลอด ตรวจกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตรวจว่ามีตกขาวผิดปกติหรือไม่ อาจมีการนำตัวอย่างของตกขาวที่เก็บได้ภายในช่องคลอด ออกมาตรวจโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อให้ทราบว่าเป็นภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียจริงหรือไม่ โดยแพทย์อาจใช้มือข้างหนึ่งตรวจในช่องคลอด และใช้มืออีกข้างกดบริเวณหน้าท้อง หรือใช้เครื่องมือทางการแพทย์ตรวจดูภายในช่องคลอด เพื่อตรวจอวัยวะบริเวณอุ้งเชิงกราน และหาสัญญาณของการติดเชื้อภายในช่องคลอด
  • การตรวจวัดค่า pH วิธีนี้จะใช้ตรวจสอบความเป็นกรดภายในช่องคลอด โดยระดับค่า pH ที่ 4.5 หรือมากกว่า จะถือเป็นสัญญาณของภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

การรักษาภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

เนื่องจากอาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เอง หากผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆ ที่เป็นปัญหา และไม่ได้ตั้งครรภ์ก็อาจไม่จำเป็นต้องรับการรักษา แต่หากมีผลกระทบในการใช้ชีวิตหรือมีอาการป่วย การรักษาจะทำได้โดย การใช้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่

“PrEPLove2test"
  • ยา Metronidazole (เมโทรนิดาโซล)
    • คือ ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่งที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโปรโตโซเวียในระบบทางเดินอาหารและอวัยวะสืบพันธุ์หญิง เช่น เชื้อแทรกซ้อนในช่องคลอด โรคแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เป็นต้น โดยมักจะใช้ร่วมกับยาอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ยาชนิดนี้มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ เช่น Flagyl, Metrogyl, และ Protostat ซึ่งจะต้องได้รับการสั่งจ่ายจากแพทย์ก่อนใช้งาน ยาเมโทรนิดาโซลชนิดรับประทานใช้รักษาภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย และควรงดดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยารักษาและหลังรักษาเสร็จสิ้นอย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันผลข้างเคียง อย่างอาการมวนท้อง ปวดท้อง หรือคลื่นไส้อาเจียน
  • ยา Clindamycin (คลินดามัยซิน)
    • คือ ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่งที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยมีการใช้งานสำหรับรักษาโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อในช่องปาก และเหงือก การติดเชื้อในช่องท้อง การติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลางและอื่นๆ โดยมักจะใช้เมื่อมีการติดเชื้อที่รุนแรงหรือเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะชนิดอื่นได้ ยาชนิดนี้เป็นยาที่ต้องใช้โดยคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เสี่ยงเกิดผลข้างเคียงอย่างลำไส้ใหญ่อักเสบรุนแรงได้
  • ยา Tinidazole (ทินิดาโซล)
    • คือ ยาต้านเชื้อโปรโตซัว ออกฤทธิ์ทำลายดีเอ็นเอ หรือยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ใช้รักษาภาวะพยาธิในช่องคลอด โรคติดเชื้อไกอาเดีย โรคบิดมีตัว และโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด นอกจากนี้ อาจนำไปใช้รักษาโรคหรือภาวะสุขภาพอื่นๆ ตามการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งยาตัวนี้มีผลข้างเคียงคล้ายยา Metronidazole ด้วยเช่นกัน จึงควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยาเหมือนกัน

ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ และไม่ควรหยุดใช้ยาด้วยตัวเอง หากยังไม่ครบกำหนดเวลา เพราะอาจเสี่ยงเกิดอาการดื้อยาได้ ซึ่งหลังการรักษาภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนี้ ช่วงระยะเวลา 3-12 เดือน อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งได้ ซึ่งแพทย์อาจรักษาต่อด้วยการจ่ายยา Metronidazole ในระยะยาว และผู้ป่วยอาจต้องรักษากับแพทย์นรีเวชโดยตรง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

การป้องกันภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

การป้องกันภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

เราสามารถป้องกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีค่า pH สมดุลและเหมาะสมกับอวัยวะเพศหญิง หรือเลือกใช้สบู่สูตรอ่อนโยน ไม่ควรมีสารเคมีหรือน้ำหอมที่มีกลิ่นฉุน หรือผ้าอนามัยที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองต่อบริเวณนั้นได้
  • ห้ามสวนล้างช่องคลอดโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แบคทีเรียในนั้นเสียสมดุล และเกิดการติดเชื้อได้
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรืองดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีความเสี่ยง เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
  • ให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ทางช่องทางใดก็ตาม

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เซ็กส์ประตูหลัง เสี่ยง HIV มากกว่า

CD4 ถูกทำลายจะเป็นอย่างไร ?

การมองข้ามเรื่องตกขาวที่ผิดปกติไม่ควรเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะอาจทำให้ปีกมดลูกเกิดอาการอักเสบ ท่อนำไข่ตัน และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงขึ้น หรือมีก้อนฝี หนองในอุ้งเชิงกรานได้ การติดเชื้อ หรือความไม่สมดุลในฮอร์โมนเพศอาจเป็นสาเหตุของตกขาวที่ผิดปกติ การรักษาต้องพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง หากตรวจพบว่าเป็นการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ จะต้องให้การรักษาคู่นอนร่วมด้วย ดังนั้น หากพบว่ามีการตกขาวที่ผิดปกติใดๆ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

Similar Posts

  • โรคหนองในเทียม Non Gonococcal Urethritis (NSU)

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน   โดยสามารแบ่งประเภทเชื้อที่เป็นต้นเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น ๆ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส …

  • โรคหนองใน (Gonorrhoea)

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน   โดยสามารแบ่งประเภทเชื้อที่เป็นต้นเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น ๆ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส …

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์..ภัยร้ายอันตรายถึงชีวิต

    “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” ติดต่อระหว่างผู้มีเชื้อกับผู้รับเชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ ปัญหาหลักของโรคเหล่านี้ คือ ผู้ป่วยมักทราบว่าตนเองมีความผิดปกติเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว บางคนก็เพิกเฉยต่ออาการเหล่านั้น หรืออายที่จะเข้ารับการรักษากับแพทย์ สาเหตุของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง ? หนองใน (Gonorrhoea) …

  • ฝีที่อวัยวะเพศ รักษาอย่างไร?

    ฝีที่อวัยวะเพศ หมายถึงการรวมตัวของตุ่มหนองขนาดใหญ่ บริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อซึ่งเป็นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ส่งผลต่อสุขภาพต่างๆ ของร่างกายและกระทบต่อช่องคลอด อุ้งเชิงกราน องคชาต ทวารหนัก หรือถุงอัณฑะ ฝีที่อวัยวะเพศ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในแท้ โรคหนองในเทียม หรือโรคซิฟิลิส เป็นต้น ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจนำไปสู่การพัฒนาของโรคฝีที่อวัยวะเพศ ได้แก่ สุขอนามัยทางเพศ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง การบาดเจ็บหรือมีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ การอุดตันของต่อมเหงื่อ ทำให้มีอาการปวด บวม แดง รู้สึกเหมือนโดนกดทับ มีหนอง สารคัดหลั่ง และมีไข้ การดูแลทางการแพทย์อย่างทันท่วงที เป็นสิ่งจำเป็นในการวินิจฉัยรักษา และป้องกันภาวะแทรกซ้อนของฝีที่อวัยวะเพศ

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ | Sexually Transmitted Diseases

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases) หรือที่เรียกกันว่า กามโรค เป็นโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยเชื้อโรคสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรงกับบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ช่องปาก ทวารหนัก หรือผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ เลือด…

  • กามโรค โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือคนที่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก เดิมมีชื่อว่า กามโรค (venereal diseases) ในปัจจุบันมีการค้นพบโรคในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections, STIs) โรคที่สำคัญคือ ซิฟิลิส…