ความเข้าใจผิดเรื่อง โรคติดต่อทางเพศ

ความเข้าใจผิดเรื่อง โรคติดต่อทางเพศ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ โรคติดต่อทางเพศ มักจะนำไปสู่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และการตีตรา ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ คนที่สําส่อนเท่านั้นจะสามารถติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ในความเป็นจริง ใครก็ตามที่มีกิจกรรมทางเพศก็อาจมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น ความเข้าใจผิดอีกประการหนึ่ง คือ กามโรคสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นเริมและไวรัสเอชพีวีสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง หรือแผลเริมได้ นอกจากนี้ บางคนยังเชื่อว่า หากไม่แสดงอาการก็ไม่ติดเชื้อเพราะกามโรคหลายชนิดแทบไม่แสดงอาการเลย ดังนั้นการตรวจหาเชื้ออย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ จึงควรให้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคเหล่านี้ที่ถูกต้องเพื่อขจัดความเข้าใจผิดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ความเข้าใจผิดเรื่อง โรคติดต่อทางเพศ

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ โรคติดต่อทางเพศ

  • กามโรคต้องแสดงอาการ หากไม่มีอาการถือว่ายังไม่เป็น
  • หากเป็นโรคติดต่อทางเพศมาก่อน จะไม่สามารถติดเชื้อได้อีก เพราะมีภูมิแล้ว
  • การทำออรัลเซ็กส์ หรือมีเซ็กส์ทางทวารหนักไม่เสี่ยงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • กามโรคสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสภายนอก การใช้ช้อนส้อม หรืออุปกรณ์การรับประทานอาหารร่วมกัน หรือการใช้ห้องน้ำสาธารณะ

ความเข้าใจของการแพร่เชื้อและการป้องกัน โรคติดต่อทางเพศ

การทำความเข้าใจว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ติดต่ออย่างไร และวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพทางเพศ ต่อไปนี้เป็นข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการแพร่กระจายและการป้องกัน:

การแพร่เชื้อ โรคติดต่อทางเพศ

  • กิจกรรมทางเพศ: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่ติดต่อทางช่องคลอด ทวารหนัก และออรัลเซ็กซ์ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน รวมถึงการทำออรัลเซ็กซ์ จะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
  • การสัมผัสทางผิวหนัง: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด เช่น เริมและ HPV สามารถแพร่กระจายได้โดยการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง กับบริเวณที่ติดเชื้อ
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: ในกรณีที่มีการติดเชื้อ เช่น เชื้อเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบบีหรือซี การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันหรือใช้กระบอกเสพยาอื่นๆ อาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้
  • การติดต่อจากแม่สู่ลูก: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด เช่น ซิฟิลิส เอชไอวี และเริม สามารถถ่ายทอดจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ คลอดบุตร หรือให้นมบุตร

การป้องกัน โรคติดต่อทางเพศ

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย: การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและต่อเนื่องระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ สามารถลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมาก
  • การตรวจหาเชื้ออย่างสม่ำเสมอ: การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคนหรือมีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง การตรวจหาเชื้ออย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ตรวจหาเชื้อได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อรักษาและป้องกันการแพร่เชื้อต่อไปได้อย่างทันท่วงที
  • การฉีดวัคซีน: วัคซีนสามารถใช้สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางอย่างเช่นไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสเอชพีวี วัคซีนเหล่านี้ให้การป้องกันไวรัสสายพันธุ์เฉพาะ และแนะนําการฉีดวัคซีนที่เหมาะสมกับกลุ่มอายุด้วย
  • การสื่อสารและการเลือกคู่: สิ่งสำคัญคือต้องสื่อสารกับคู่นอนอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการเข้ารับการตรวจ การเลือกคู่นอนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพทางเพศ ควบคู่กันไปจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: การหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางเพศที่ไม่มีการป้องกัน การมีคู่นอนหลายคน และการไม่เสพยาด้วยการฉีดเข้าเส้นเลือด สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและการรักษาความสัมพันธ์แบบรักเดียวใจเดียวกับคู่ที่ไม่ติดเชื้อจะลดความเสี่ยงได้
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ โรคติดต่อทางเพศ

ผลกระทบของการเข้าใจข้อมูล โรคติดต่อทางเพศ แบบผิดๆ มีอะไรบ้าง?

การตีตรากามโรค หมายถึงทัศนคติเชิงลบ ความเชื่อ และแบบแผนของคนที่เป็น หรือเคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ความคิดแบบนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการทํางานด้านสาธารณสุขในวงกว้าง ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับผลกระทบ:

  • อารมณ์และจิตใจ: การตีตราทางเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดความอับอาย ความรู้สึกผิด ความกลัวและความวิตกกังวลสำหรับคนที่ได้รับการวินิจฉัย หรือสงสัยว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ความกลัวที่จะถูกตัดสินหรือปฏิเสธโดยผู้อื่นสามารถมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสุขภาพจิตของพวกเขา ความนับถือตนเอง และคุณภาพชีวิตโดยรวม
  • อุปสรรคในการตรวจและรักษา: การตีตราอาจทำให้เกิดอุปสรรคสำคัญในการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรักษา และการดูแล ความกลัวที่จะถูกตัดสิน หรือถูกตีตราอาจทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ ส่งผลให้การวินิจฉัยล่าช้า การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา และอัตราการแพร่กระจายเพิ่มขึ้น
  • ความอับอาย: ความกลัวต่อความจริงที่อาจทำให้คนๆ เปิดเผยสถานะของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของตนกับคู่นอนได้ยาก ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ทัศนคติที่ตีตราและขาดความเข้าใจในสังคมจะนำไปสู่ความยากลําบากในการเปิดเผยผลเลือดและพูดคุยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ผลกระทบด้านความสัมพันธ์: การตีตรากามโรคทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียด คนที่ได้รับผลกระทบอาจเผชิญกับการปฏิเสธ การเลือกปฏิบัติ และการแยกตัวจากเพื่อน คู่ครอง และแม้แต่แพทย์ก็ตาม การตีตรานำไปสู่การสูญเสียความไว้วางใจ และเครือข่ายสนับสนุน ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่โดยรวม
  • เสริมสร้างแบบแผนผิดๆ: การตีตราโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มักจะเสริมสร้างแบบแผนและความเข้าใจผิดที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจทำให้การเลือกปฏิบัติ การกล่าวโทษเหยื่อ และการตัดสินคำพิพากษาเรื่องเพศ หรือศีลธรรมบนฐานของการรับรู้นำไปสู่การแบ่งแยกทางสังคมของคนๆ นั้นที่ได้รับผลกระทบ

แก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกามโรค

การแก้ปัญหามายาคติเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ ในการส่งเสริมข้อมูลที่ถูกต้อง และขจัดความเข้าใจผิด ต่อไปนี้เป็นวิธีสำคัญบางประการในการแก้ปัญหาความเข้าใจผิดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

  • การศึกษาที่ครอบคลุมหัวข้อที่หลากหลาย รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักฐานและทางการแพทย์ เกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรค การป้องกัน การตรวจ และการรักษา
  • นำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับกลุ่มอายุที่แตกต่างกัน ใช้ภาษาและภาพที่เหมาะสมกับอายุที่ครอบคลุม และไม่มีการตัดสิน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่ไม่ตีตราโดยเน้นข้อเท็จจริงมากกว่าการเหมารวม
  • การใช้สื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการมองเห็น เช่น ภาพประกอบ หรือสื่อวิดีโอเพื่ออธิบายถึงการแพร่กระจายและการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ แหล่งข้อมูลออนไลน์ หรือแบบทดสอบที่สามารถดึงดูดให้คนสนใจ
  • ทำงานร่วมกับแพทย์ หรือองค์กรท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศ เพื่อให้คำแนะนำ และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลล่าสุดและแม้กระทั่งการบรรยายรับเชิญ หรือการสัมมนาให้ความรู้ความเข้าใจ
การป้องกัน โรคติดต่อทางเพศ

การขอความช่วยเหลือและการสนับสนุนทางการแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพในทุกด้าน รวมถึงสุขภาพทางเพศ ต่อไปนี้เป็นประเด็นที่ควรพิจารณา:

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์: มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เมื่อจัดการกับปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ. แพทย์พยาบาลและผู้ให้บริการด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้รับการฝึกอบรมเพื่อประเมินและแก้ไขความต้องการด้านสุขภาพเฉพาะของคุณ พวกเขาสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทำการทดสอบหรือตรวจสอบที่จำเป็น และให้ทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสม
  • การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวมรวมถึงสุขภาพทางเพศ จัดให้มีการพบปะกับผู้ให้บริการสุขภาพเป็นประจำเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาใด ๆ เข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ฉีดวัคซีน (เช่นวัคซีน HPV) และรับคำปรึกษาหรือคำแนะนำที่เหมาะสม
  • การรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว: ผู้ให้บริการสุขภาพอยู่ภายใต้มาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อรักษาความลับและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วย คุณสามารถคาดหวังว่าการอภิปรายและผลการทดสอบของคุณจะถูกเก็บเป็นความลับ หากคุณกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวคุณสามารถพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับความสะดวกสบายและความไว้วางใจ
  • คลินิกเฉพาะทาง: บางพื้นที่มีคลินิกเฉพาะทางหรือศูนย์สุขภาพทางเพศที่ให้บริการด้านสุขภาพทางเพศโดยเฉพาะรวมถึงการตรวจรักษาให้คำปรึกษาและให้ความรู้ คลินิกเหล่านี้อาจมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในปัญหาสุขภาพทางเพศและสามารถให้การสนับสนุนอย่างมืออาชีพ
  • กลุ่มสนับสนุน: การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือขอคำปรึกษาสามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์และคำแนะนำขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ มีแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมายรวมถึงออนไลน์และออฟไลน์ซึ่งคุณสามารถเชื่อมต่อกับบุคคลหรือกลุ่มที่มีประสบการณ์หรือความกังวลที่คล้ายกัน
  • แหล่งข้อมูลออนไลน์: อินเทอร์เน็ตอาจเป็นแหล่งข้อมูลสุขภาพทางเพศที่มีคุณค่า แต่การพึ่งพาแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรต่างๆเช่นศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และทันสมัยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กลยุทธ์การป้องกันและทรัพยากรที่มีอยู่

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

รู้จัก HIV และวิธีป้องกัน

อาการตกขาวผิดปกติของผู้หญิง

มีความเข้าใจผิดทั่วไปหลายประการเกี่ยวกับกามโรค ที่บางคนคิดว่าคนที่มีคู่นอนหลายคนเท่านั้นที่สามารถติดเชื้อได้ แต่ความจริงใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเพศที่ไม่มีการป้องกันก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น มันไม่ถูกต้องที่จะสันนิษฐานว่ากามโรคทั้งหมดมีอาการที่ชัดเจน เนื่องจากการติดเชื้อจํานวนมากอาจไม่มีอาการซึ่งนําไปสู่การแพร่กระจายที่ไม่ถูกค้นพบ นอกจากนี้ บางคนเข้าใจผิดคิดว่ากามโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรักษาที่บ้านหรือยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ ในขณะที่ในความเป็นจริงกามโรคส่วนใหญ่ต้องการการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม และสุดท้ายมีความรู้สึกอับอายเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ มักนำไปสู่การตีตราและตัดสินผู้ได้รับผลกระทบ การแก้ปัญหาความเข้าใจผิดเหล่านี้โดยการให้ความรู้ สร้างความตระหนัก และส่งเสริมการสนทนาที่เปิดกว้างและไม่ตัดสินเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศเป็นสิ่งสำคัญครับ

อาการตกขาว ผิดปกติของผู้หญิง

อาการตกขาว ผิดปกติของผู้หญิง

อาการตกขาว เป็นของเหลวที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยทำความสะอาด ชุ่มชื้น และป้องกันช่องคลอดจากการติดเชื้อต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงทุกคนควรสังเกตสีของ อาการตกขาว เป็นอย่างมาก เนื่องจากสีของ อาการตกขาว สามารถบ่งบอกถึงการผิดปกติของร่างกายได้ โดยปกติแล้ว สีของการตกขาวจะเป็นสีขาว ใส หรือเล็กน้อยที่มีความขุ่นอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด การติดเชื้อหรือผิดปกติบางอย่างในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ การเฝ้าระวังสีและลักษณะการตกขาวเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากและหากมีการเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติใดๆ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาให้เหมาะสม

อาการตกขาว ผิดปกติของผู้หญิง

อาการตกขาว ที่ผิดปกติมีสีอะไรบ้าง

สีของ อาการตกขาว ที่ผิดปกติสามารถแบ่งออกเป็นหลายสี ได้แก่

  • ตกขาวสีขาว ครีม เหลืองอ่อน หรือสีเหมือนเปลือกไข่
    • หากพบว่ามีตกขาวสีขาวใส หรือสีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น ถือเป็นลักษณะทั่วไปของตกขาวที่หลั่งออกมาเพื่อหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นกับช่องคลอดไม่ได้เป็นอาการที่ผิดปกติแต่อย่างใด แต่ตกขาวที่ผิดปกติ จะมีสีที่แตกต่างไปจากเดิมที่คุณเคยเจอ ที่สำคัญ ตกขาวจะมีกลิ่นเหม็น และมีลักษณะเป็นก้อนหนาๆ
  • ตกขาวสีเขียวอ่อน หรือเหลืองปนเขียว
    • หากพบว่ามีตกขาวสีนี้ ร่วมกับรู้สึกระคายเคืองบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย ตกขาวจะมีกลิ่นคาว แสดงว่าอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
  • ตกขาวสีชมพูอ่อน
    • อาจหมายถึงว่ากำลังจะเริ่มเป็นประจำเดือน หรือมีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งพบในกรณีที่เป็นคุณแม่หลังคลอดบุตร เรียกง่ายๆ ว่า น้ำคาวปลา คือ ของเหลวที่ขับออกผ่านทางช่องคลอด มีกลิ่นเหม็นอับ และอาจมีสีที่แตกต่างกันนับจากวันที่คลอดบุตร โดยอาการนี้ จะคงอยู่ในช่วงระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ และหมดไปได้เองภายใน 4-6 สัปดาห์
  • ตกขาวสีน้ำตาลแดง หรือสีแดง
    • หากพบว่าตกขาวมีสีคล้ายเลือดปะปนออกมา อาจหมายถึงประจำเดือนที่ยังตกค้างอยู่ หรือมีการติดเชื้อที่ปากมดลูก เนื่องจากเลือดออกจากการตกไข่ อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย
  • ตกขาวสีเทา
    • อาจหมายถึง การอักเสบที่บริเวณช่องคลอด และปากมดลูก จากเชื้อแบคทีเรียผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือเป็นสัญญาณของภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะอาการร่วมอย่าง รู้สึกคัน ระคายเคืองช่องคลอด มีกลิ่นเหม็น มีรอยแดงที่ปากช่องคลอด เป็นต้น

หากผู้หญิงมีตกขาวที่มีสีผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น อาจเป็นเชื้อแบคทีเรีย หรือย่อมว่าเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือภาวะที่อันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิงในอนาคต

อาการตกขาว ที่ผิดปกติส่งผลเสียอย่างไร

อาการตกขาว ที่ผิดปกติส่วนใหญ่จะหมายถึงการติดเชื้อในช่องคลอด โดยโรคที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

โรคเชื้อราในช่องคลอด

การติดเชื้อเยื่อบุช่องคลอดส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ CANDIDA ALBICANS แต่บางบุคคลอาจเกิดจากเชื้อราชนิดอื่นได้ มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อการติดเชื้อเช่นโรคเบาหวาน, การใช้ยาปฎิชีวนะเป็นเวลานาน, การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากภายนอก เช่นการใช้ยาคุมกำเนิด, ภาวะตั้งครรภ์, ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นการติดเชื้อเอชไอวี และการได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน อาการของโรครวมถึงการตกขาวที่มีลักษณะเหมือนแป้งเปียก, มีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด, หรือมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด, ปัสสาวะแสบขัด, เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ การวินิจฉัยโรคจะต้องพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด สำหรับการรักษาใช้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีรูปแบบต่าง ๆ เช่นยาครีม, ยาเหน็บช่องคลอด และยากลืน เช่น Clotrimazole, Miconazole, Tioconazole, Fluconazole ตามคำแนะนำของแพทย์ การรักษาจะช่วยให้ร่างกายหายจากอาการและการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

โรคติดเชื้อทริโคโมแนส

เชื้อโปรโตซัว TRICHOMONAS VAGINALIS (TV) เป็นสาเหตุของโรคนี้ซึ่งมักติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ อาการของโรครวมถึงตกขาวที่มีสีเขียวและมีกลิ่นเหม็น ความเจ็บปวดและคันบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด อาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มักมีการอักเสบและบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด พบจุดเลือดออกบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกที่มีลักษณะเรียกว่า “Strawberry cervix” แนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole พร้อมรับการรักษาคู่นอนด้วย

โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

เป็นลักษณะอาการอักเสบในช่องคลอดของผู้หญิง เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอด อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน และมี อาการตกขาว ที่ผิดปกติดังกล่าวไปข้างต้น พบมากในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 15-50 ปี มีอาการเด่นๆ ให้สังเกตเห็นได้ดังต่อไปนี้

  • ตกขาวสีเทา สีเขียว หรือสีขาวที่เป็นฟองหรือแผ่น
  • คัน และระคายเคืองบริเวณช่องคลอด
  • รู้สึกแสบร้อนเวลาปัสสาวะ
  • ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นคาวปลา และเหม็นรุนแรงขึ้นหลังมีเซ็กส์

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ

ในช่องคลอดมักจะมีแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ที่อยู่รวมกัน เช่นแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) และแอนแอโรบส์ (Anaerobes) โดยทั่วไปแล้ว แบคทีเรียชนิดดีจะช่วยรักษาสมดุลในช่องคลอด แต่ถ้ามีแบคทีเรียชนิดไม่ดีมากเกินไปจะทำให้สมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอดเสียและเกิดภาวะ Bacterial Vaginosis ได้

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่อาจทำให้เกิดภาวะ Bacterial Vaginosis ได้ เช่นการสูบบุหรี่ การสวนล้างช่องคลอด การใส่ห่วงคุมกำเนิด โดยเฉพาะในสตรีที่มีประจำเดือนกะปริดกะปรอยร่วมด้วย การตั้งครรภ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิด Bacterial Vaginosis มากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายขณะตั้งครรภ์ การร่วมเพศกับคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนใหม่ และการไม่สวมถุงยางอนามัยหรือไม่ใช้แผ่นยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีอาการผิดปกติของช่องคลอด ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

การตรวจวินิจฉัยโรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

สำหรับการตรวจช่องคลอดอักเสบนั้น แพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพของผู้ป่วยและทำการตรวจด้วยวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งก่อนทำการตรวจไม่ควรทำความสะอาดบริเวณช่องคลอด หรือเช็ดล้าง เนื่องจากตกขาวที่มีหรือกลิ่นอันไม่พึงประสงค์อาจหายไปในตอนที่ตรวจ ทำให้การวินิจฉัยของแพทย์ไม่แม่นยำ วิธีการตรวจ ได้แก่

  • การตรวจภายใน : โดยการสังเกตบริเวณโดยรอบช่องคลอด ตรวจกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตรวจว่ามีตกขาวผิดปกติหรือไม่ อาจมีการนำตัวอย่างของตกขาวที่เก็บได้ภายในช่องคลอด ออกมาตรวจโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อให้ทราบว่าเป็นภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียจริงหรือไม่ โดยแพทย์อาจใช้มือข้างหนึ่งตรวจในช่องคลอด และใช้มืออีกข้างกดบริเวณหน้าท้อง หรือใช้เครื่องมือทางการแพทย์ตรวจดูภายในช่องคลอด เพื่อตรวจอวัยวะบริเวณอุ้งเชิงกราน และหาสัญญาณของการติดเชื้อภายในช่องคลอด
  • การตรวจวัดค่า pH วิธีนี้จะใช้ตรวจสอบความเป็นกรดภายในช่องคลอด โดยระดับค่า pH ที่ 4.5 หรือมากกว่า จะถือเป็นสัญญาณของภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

การรักษาภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

เนื่องจากอาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เอง หากผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆ ที่เป็นปัญหา และไม่ได้ตั้งครรภ์ก็อาจไม่จำเป็นต้องรับการรักษา แต่หากมีผลกระทบในการใช้ชีวิตหรือมีอาการป่วย การรักษาจะทำได้โดย การใช้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่

  • ยา Metronidazole (เมโทรนิดาโซล)
    • คือ ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่งที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโปรโตโซเวียในระบบทางเดินอาหารและอวัยวะสืบพันธุ์หญิง เช่น เชื้อแทรกซ้อนในช่องคลอด โรคแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เป็นต้น โดยมักจะใช้ร่วมกับยาอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ยาชนิดนี้มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ เช่น Flagyl, Metrogyl, และ Protostat ซึ่งจะต้องได้รับการสั่งจ่ายจากแพทย์ก่อนใช้งาน ยาเมโทรนิดาโซลชนิดรับประทานใช้รักษาภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย และควรงดดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยารักษาและหลังรักษาเสร็จสิ้นอย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันผลข้างเคียง อย่างอาการมวนท้อง ปวดท้อง หรือคลื่นไส้อาเจียน
  • ยา Clindamycin (คลินดามัยซิน)
    • คือ ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่งที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยมีการใช้งานสำหรับรักษาโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อในช่องปาก และเหงือก การติดเชื้อในช่องท้อง การติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลางและอื่นๆ โดยมักจะใช้เมื่อมีการติดเชื้อที่รุนแรงหรือเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะชนิดอื่นได้ ยาชนิดนี้เป็นยาที่ต้องใช้โดยคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เสี่ยงเกิดผลข้างเคียงอย่างลำไส้ใหญ่อักเสบรุนแรงได้
  • ยา Tinidazole (ทินิดาโซล)
    • คือ ยาต้านเชื้อโปรโตซัว ออกฤทธิ์ทำลายดีเอ็นเอ หรือยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ใช้รักษาภาวะพยาธิในช่องคลอด โรคติดเชื้อไกอาเดีย โรคบิดมีตัว และโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด นอกจากนี้ อาจนำไปใช้รักษาโรคหรือภาวะสุขภาพอื่นๆ ตามการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งยาตัวนี้มีผลข้างเคียงคล้ายยา Metronidazole ด้วยเช่นกัน จึงควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยาเหมือนกัน

ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ และไม่ควรหยุดใช้ยาด้วยตัวเอง หากยังไม่ครบกำหนดเวลา เพราะอาจเสี่ยงเกิดอาการดื้อยาได้ ซึ่งหลังการรักษาภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนี้ ช่วงระยะเวลา 3-12 เดือน อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งได้ ซึ่งแพทย์อาจรักษาต่อด้วยการจ่ายยา Metronidazole ในระยะยาว และผู้ป่วยอาจต้องรักษากับแพทย์นรีเวชโดยตรง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

การป้องกันภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

การป้องกันภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

เราสามารถป้องกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีค่า pH สมดุลและเหมาะสมกับอวัยวะเพศหญิง หรือเลือกใช้สบู่สูตรอ่อนโยน ไม่ควรมีสารเคมีหรือน้ำหอมที่มีกลิ่นฉุน หรือผ้าอนามัยที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองต่อบริเวณนั้นได้
  • ห้ามสวนล้างช่องคลอดโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แบคทีเรียในนั้นเสียสมดุล และเกิดการติดเชื้อได้
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรืองดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีความเสี่ยง เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
  • ให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ทางช่องทางใดก็ตาม

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เซ็กส์ประตูหลัง เสี่ยง HIV มากกว่า

CD4 ถูกทำลายจะเป็นอย่างไร ?

การมองข้ามเรื่องตกขาวที่ผิดปกติไม่ควรเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะอาจทำให้ปีกมดลูกเกิดอาการอักเสบ ท่อนำไข่ตัน และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงขึ้น หรือมีก้อนฝี หนองในอุ้งเชิงกรานได้ การติดเชื้อ หรือความไม่สมดุลในฮอร์โมนเพศอาจเป็นสาเหตุของตกขาวที่ผิดปกติ การรักษาต้องพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง หากตรวจพบว่าเป็นการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ จะต้องให้การรักษาคู่นอนร่วมด้วย ดังนั้น หากพบว่ามีการตกขาวที่ผิดปกติใดๆ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์..ภัยร้ายอันตรายถึงชีวิต

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภัยร้ายอันตรายถึงชีวิต
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภัยร้ายอันตรายถึงชีวิต

“โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” ติดต่อระหว่างผู้มีเชื้อกับผู้รับเชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ ปัญหาหลักของโรคเหล่านี้ คือ ผู้ป่วยมักทราบว่าตนเองมีความผิดปกติเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว บางคนก็เพิกเฉยต่ออาการเหล่านั้น หรืออายที่จะเข้ารับการรักษากับแพทย์

สาเหตุของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

  • เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดไม่มียารักษา และบางชนิดยังสามารถฝังตัวอยู่ และกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
  • เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ
  • เกิดจากเชื้ออื่น ๆ เช่น พยาธิ สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีอะไรบ้าง

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง ?

หนองใน (Gonorrhoea) 

หนองใน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ และมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการรักษา

หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

หูดหงอนไก่ เกิดจากไวรัส Human papillomavirus ลักษณะเป็นติ่งเนื้ออ่อน ๆ สีชมพูคล้ายหงอนไก่ ในผู้ชายมักพบที่อวัยวะเพศบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ตลอดทั้งบริเวณรอบรอยเปิดขอบ, ท่อปัสสาวะ และอัณฑะ ส่วนผู้หญิงจะพบที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนักและฝีเย็บ หูดมีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ

ซิฟิลิส (Syphilis)

ซิฟิลิส เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum เป็นโรคที่มีอันตราย และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี ลักษณะการติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ หากไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่า เข้าข้อหรือออกดอก ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่าง ๆ ของร่างกายหลายระบบ

เริมที่อวัยวะเพศ (Genita Herpes)

เริมที่อวัยวะเพศ เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่

หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum)

หูดข้าวสุก เกิดจากเชื้อไวรัส Molluscum contagiosum virus (MCV) ทำให้เกิดเป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง ผิวเรียบขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร จะพบมากขึ้นในรายที่มีการติดเชื้อ HIV จำนวนตุ่มที่เกิดขึ้นอาจมีมากหรือน้อยขึ้นกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้น ว่าร่างกายมีความแข็งแรงเพียงใด

โลน (Pediculosis Pubis)

โลน เกิดจากแมลงตัวเล็กที่เรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอยู่ที่ขนหัวหน่าว ชอบไชตามรากขนอ่อน และดูดเลือดคนเป็นอาหาร ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการคัน เมื่อเกาจะทำให้เชื้อแพร่ไปยังบริเวณอื่นได้ ติดต่อได้จากการสัมผัสทางเพศกับผู้ป่วย หรือใช้กางเกงชั้นในร่วมกัน

เอดส์ (AIDS)

เอดส์ เกิดจากการรับเชื้อ Human immunodeficiency virus หรือ HIV เข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวที่เป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้เชื้อโรคฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น และสาเหตุการเสียชีวิตก็มักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ ที่จะทำให้อาการรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์ ?

  • ในผู้ชาย ปัสสาวะแสบขัด ขาหนีบบวม เป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีเมือกใสหรือหนองไหลออกมา
  • ในผู้หญิง รู้สึกเจ็บเสียวท้องน้อย ขาหนีบบวม เป็นฝี เจ็บปวด คันอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่นเหม็น
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ต้องรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค
  • แจ้งคู่นอนให้ทราบว่า เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อจะได้ป้องกัน ไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่คนอื่น
  • รักษาอาการ และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการอักเสบลุกลาม
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมาทุกชนิด
  • ไม่ควรซื้อยามารักษาเอง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์                                                      
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • ฉีดวัคซีนป้องกันการเกิดโรค
  • ตรวจโรคเป็นประจำทุกปี
  • รักษาความสะอาดร่างกายและอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ                      

ขอบคุณข้อมูล : Tumboltasai ,Kapook

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

รอบรู้เรื่องถุงยางอนามัย

รอบรู้เรื่องถุงยางอนามัย
รอบรู้เรื่องถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยมีความสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการคุมกำเนิด ในปัจจุบัน มีถุงยางอนามัยให้เลือกใช้ ทั้งแบบสำหรับสตรีและแบบสำหรับบุรุษ 

ถุงยางอนามัยคือ?

ถุงยางอนามัย (Condom) มาจากภาษาละติน แปลว่า ภาชนะที่รองรับ ทำด้วยวัสดุจากยางพารา หรือโพลียูรีเทน โดยฝ่ายชายเป็นฝ่ายใช้สวมครอบอวัยวะเพศของตนเอง  และเป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้เป็นอันดับต้นๆ สำหรับช่วยป้องกันการคุมกำเนิด และช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

ซึ่งปัจจุบันมีการผลิต และพัฒนาถุงยางอนามัยออกสู่ตลาดจำนวนมาก ในหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งที่มีสีสัน ผิวเรียบ ผิวไม่เรียบ มีกลิ่น และรสผลไม้ รวมทั้งมีรูปทรงที่แปลกตามากขึ้น ซึ่งแต่ละแบบเน้นวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

ทำไมจึงต้องใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์

เพราะ ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ อย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อการคุมกำเนิด หรือเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หูดหงอนไก่ เชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นต้น  ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัย ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ซึ่งสามารถป้องกันได้มากถึงร้อยละ 98%

แนะการใช้ถุงยางอนามัย 4 ขั้นตอน เลือก เก็บ ใช้ ทิ้ง ที่เราทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • เลือก ให้ถูกไซส์ ถุงยางอนามัยมีหลายขนาด ตั้งแต่ ขนาด 49 มิลลิเมตร ขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาด 54 มิลลิเมตร และ ขนาด 56 มิลลิเมตร รวมถึง กลิ่น สี มีหลายแบบให้เลือก ดังนั้น ควรเลือกใช้ขนาดที่เหมาะสม หากเลือกขนาดเล็กหรือใหญ่ไป จะทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาด หรือหลุดได้ง่าย  นอกจากนี้ต้องตรวจดูวันผลิต หรือวันหมดอายุก่อนทุกครั้ง และได้มาตรฐาน อย.
  • วิธีวัดขนาดง่ายๆ ให้เริ่มจากวัดเส้นรอบวงของอวัยวะเพศเมื่อแข็งตัว แล้วหารด้วย 2 จะได้ขนาดที่พอดี เช่น เส้นรอบวง 10.6 เซนติเมตร ให้หารด้วย 2 ผลลัพธ์ที่ออกมาเท่ากับ 5.3 เซนติเมตร ถุงยางอนามัยที่สามารถใช้ได้ก็คือขนาด 52 หรือ 54 มิลลิเมตร
  • เก็บ ให้ถูกวิธี การเก็บถุงยางอนามัย ถือเป็นขั้นตอนสำคัญเช่นกัน คือ ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยในที่มีความชื้นสูง หรือในที่ร้อน เพราะความร้อนจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพ ไม่ควรเก็บไว้ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น กระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะทำให้ฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งเกิดจากการนั่งทับ ทางที่ดีควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในจุดที่สามารถหยิบใช้งานได้ง่าย และสะดวก
  • ใช้ ให้ถูกวิธี เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทุกครั้ง ทุกคน ทุกช่องทาง อันดับแรกให้ฉีกซอง แบบระมัดระวังอย่าให้เล็บสะกิดถุงยางอนามัย เพราะอาจจะทำให้ฉีกขาดได้ จากนั้นให้บีบปลายถุงยางอนามัยเพื่อไล่ลมก่อนใส่เสมอ หากมีฟองอากาศที่ปลายถุงยางอนามัยจะทำให้ฉีดขาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ สุดท้ายให้สวมถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว โดยบีบปลายถุงยางอนามัยขณะสวมแล้วรูดให้สุดโคน         
  • ทิ้ง ให้ปลอดภัย ขั้นตอนสุดท้ายแต่สำคัญที่สุด เมื่อเสร็จกิจให้รีบถอดถุงยางอนามัยออกตอนที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่ โดยใช้นิ้วสอดเข้าในขอบถุงยางอนามัย หรือใช้กระดาษทิชชู่ห่อแล้วรูดออก จากนั้นทิ้งลง ถังขยะให้มิดชิด ไม่ควรทิ้งลงชักโครก หรือในแม่น้ำ ลำคลอง เด็ดขาด

ชนิดของถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยที่มีการผลิตจำหน่ายมี 3 ชนิด โดยแบ่งตามวัสดุที่ใช้ ได้แก่

1) ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom) วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียกว่า caecum มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างตั้งแต่ 62 – 80 มิลลิเมตร สวมใส่ไม่รัดรูปแต่ไม่สามารถยืดตัวได้ ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะเชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์ สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ แต่ในประเทศไทยไม่มีการผลิตจำหน่าย เนื่องจากมีราคาสูง

2) ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom) ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติมีราคาถูก มีความบางและยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ ขนาดความกว้างน้อยกว่า เวลาสวมใส่ให้ความรู้สึกกระชับรัดแนบเนื้อ และสามารถใช้ได้ทั้ง เพื่อการคุมกำเนิด และป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

ถุงยางชนิดนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นประเภทที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันหล่อลื่นผิวหนัง พวก Mineral oil ได้ เพราะจะทำให้โครงสร้างของน้ำยางเสื่อมลง ส่งผลต่อคุณภาพและการป้องกัน แต่ใช้ได้กับสารหล่อลื่นชนิดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก (water-based lubricant)

3) ชนิดที่ทำจาก Polyurethane หรือ Polyisoprene (ถุงยางพลาสติก) ปัจจุบันมีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane ถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดี เหนียวกว่า ทนต่อการฉีกขาดกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวแพ้ยางพารา สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันหล่อลื่นผิวหนัง พวก Mineral oil ได้  และที่สำคัญคือสามารถทำให้บางได้ถึง 01 มิลลิเมตร ทำให้รู้สึกเสมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย (feels like not wearing anything) แต่ราคาอาจสูงกว่าแบบน้ำยางพารา

การเลือกประเภทของถุงยาง

การเลือกซื้อถุงยางอนามัย ควรเลือกตามวิธีดังนี้

  • ควรอ่านฉลากก่อนซื้อทุกครั้ง เพราะการอ่านฉลากเพื่อให้ได้รู้ว่าสินค้าตัวนั้น ๆ ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ รวมถึงข้อมูลด้านอื่น ๆ เช่น วันหมดอายุ หรือ ต้องใช้ก่อนวันที่เท่าไหร่ เป็นต้น
  • การเลือกประเภทของถุงยาง สำหรับในประเทศไทยโดยทั่วไปเราจะสามารถพบเห็นขนาดของถุงยางอนามัยที่วางขายในขนาด 49 มม. 51 มม. และ 52 มม. ซึ่งการเลือกซื้อเพื่อมาใช้งานควรเลือกขนาดของถุงยางให้เหมาะสม เพื่อให้การป้องกันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • การบรรจุ และการจัดวางสินค้า ก่อนซื้อเราควรตรวจดูว่ากล่องที่บรรจุถุงยางอนามัยชำรุด หรือฉีกขาดบ้างหรือไม่ เพราะตัวสินค้าภายในอาจมีความชำรุด ซึ่งไม่ควรนำมาใช้งาน นอกจากนี้ตัวสินค้ายังต้องถูกเก็บรักษาให้พ้นจากแสงแดดอีกด้วย 
  • ในปัจจุบันมีการผลิตถุงยางในรูปแบบต่าง ๆ มากมายเพื่อให้เลือกใช้งาน แต่ยังมีอยู่หลายแบบที่ไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากคณะกรรมการอาหารและยา เราจึงควรคำนึงถึงจุดนี้ให้มาก ๆ เพราะแทนที่จะได้รับความปลอดภัยจากการมีเพศสัมพันธ์อาจจะได้รับอันตรายแทนได้

ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย

  • หาซื้อง่าย ไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์ ถุงยางอนามัย มีแจกจ่ายตามโรงพยาบาลและที่สาธารณะทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงในการใช้คุมกำเนิดเหมือนการทานยาคุมกำเนิดของผู้หญิง
  • ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะน้ำอสุจิ เชื้อโรค หรือแบคทีเรียต่าง ๆ ไม่สามารถทะลุผ่าน ถุงยางอนามัย ได้ยกเว้น ถุงยางอนามัย ที่ผลิตมาจากลำไส้ของสัตว์เท่านั้น
  • สามารถมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฝ่ายหญิงมีประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่าฝ่าไฟแดงได้ (แต่ไม่แนะนำ)
  • ป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกให้แก่ฝ่ายหญิง
  • ราคาถูกและปลอดภัยกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นการสวมใส่ และใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ถึง 98%
  • มีหลายรูปทรง หลายกลิ่น หลายสี สามารถเพิ่มพูนความสุขระหว่างร่วมรักได้ง่าย

ข้อเสียของการใช้ถุงยางอนามัย

  • อาจเกิดอาการแพ้ คัน และผื่นแดงขึ้น มีอาการแพ้ได้ทั้งชายและหญิงแต่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด สามารถทานยาแก้แพ้หลังจากเสร็จสิ้นการมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ทางที่ดีควรเปลี่ยนถุงยางอนามัยเป็นชนิดที่ไม่เกิดอาการแก้ดีกว่า อย่างเช่น ถุงยางอนามัย ที่ผลิตมาจากโพลียูรีเทนราคาแพงไปสักนิดแต่ก็ดีกว่ามานั่งทานยาแก้แพ้อยู่เรื่อย ๆ
  • การสวมใส่ ถุงยางอนามัย ผิดวิธีหรือไม่ระวังมีโอกาสทำให้ลื่นหลุด หรือฉีกขาดทำให้การร่วมรักสะดุด ไม่ต่อเนื่อง ดูไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งมือใหม่ใส่ไม่ช่ำชองจะพาลหมดอารมณ์ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
  • เมื่อหลั่งน้ำอสุจิเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบถอนออกมาถอด ถุงยางอนามัย ด้วยความระมัดระวัง การปล่อยแช่ทิ้งไว้ที่อวัยวะเพศหญิงอาจจะทำให้ถุงยางอนามัยหลุดออกคาช่องคลอดได้

ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย

  • ระยะเวลาในการใช้งาน การใช้ 1 ชิ้นจะต้องใช้ไม่เกิน 30 นาที เพราะความสมบูรณ์ของตัวถุงยางอนามัยอาจจะเสื่อมสภาพลง และต้องใช้แล้วทิ้งเท่านั้น ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่โดยเด็ดขาด
  • ระวังสารหล่อลื่น การใช้สารหล่อลื่นบางชนิดอาจมีผลกับตัวถุงยางอนามัย จึงควรหลีกเลี่ยงสารหล่อลื่นที่เป็นน้ำมันพืช น้ำมันแร่เป็นตัวละลาย เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาจนเกิดความเสียหายต่อถุงยางอนามัยได้
  • ภายหลังการใช้ถุงยางอนามัยไม่ควรสัมผัสถุงยางโดยตรง เพราะอาจมีเชื้อโรคติดอยู่ที่ด้านนอกแล้ว
  • ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว ควรนำไปเผา หรือทิ้งลงถังขยะในทันที
  • การเก็บรักษาให้พ้นจากความร้อน หรือแสงแดด และไม่ควรเก็บในที่ชื้น เช่น ในช่องเก็บของบนพาหนะเนื่องจากมีความร้อนสูง และไม่ควรเก็บในที่ถูกทับ หรือบีบรัด เช่น กระเป๋ากางเกง กระเป๋าเงิน เพราะอาจทำให้ถุงยางอนามัยเกิดการชำรุดได้ 
  • ด้วยราคาที่ไม่ได้แพง การป้องกันที่ง่าย และได้ผลดี เราจึงไม่ควรมองข้ามการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเอง และต่อผู้อื่น รวมถึงลดปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะถึงแม้ว่าเชื้อเอชไอวีอาจจะรักษาไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะป้องกันได้
สวมถุงยางอนามัย

ข้อควรรู้เกี่ยวกับถุงยางอนามัย

  • ขนาดของถุงยางอนามัย  มีตั้งแต่ 44-56 มิลลิเมตร โดยวัดจากความกว้างของถุงยางที่คลี่แบนราบกับพื้น แต่โดยทั่วไปจะมีจำหน่ายเพียง 2 ขนาดคือ 49 และ 52 มิลลิเมตร การวัดขนาดให้เหมาะสมกับถุงยางอนามัย ให้วัดรอบวงของอวัยวะเพศขณะแข็งตัวเต็มที่เป็นหน่วยมิลลิเมตร และนำไปหารด้วย 2 จะได้เป็นขนาดของถุงยางอนามัยที่เหมาะสม
  • ห้ามใช้น้ำมันหรือโลชั่นเป็นสารหล่อลื่น   การใช้สารหล่อลื่นอื่นๆ เช่น น้ำมันมะพร้าว โลชั่น เบบี้ออยส์ วาสลีน สบู่เหลว ที่ไม่ใช่เจลหล่อลื่นจะทำให้ถุงยางอนามัยเกิดการฉีกขาดได้ง่ายในขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการใช้ถุงยางอนามัยได้ ดังนั้นควรใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของซิลิโคนเท่านั้น
  • ถุงยางอนามัยมีวันหมดอายุ สำหรับใครที่ได้รับถุงยางอนามัยแจกฟรี หรือถุงยางอนามัยมีถุงยางอนามัยที่ซื้อมาแล้วเก็บไว้เป็นเวลานาน ควรตรวจสอบวันหมดอายุก่อนนำมาใช้งานทุกครั้ง เนื่องจากสารหล่อลื่นที่อยู่ในซองถุงยางอนามัยนั้นอาจเสื่อมสภาพหรือหมดอายุไปแล้ว เมื่อนำมาใช้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือถุงยางอนามัยชำรุดได้
  • บีบไล่อากาศที่ปลายถุงยางก่อนใส่ทุกครั้งก่อนสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งควรบีบไล่อากาศออกก่อน เพราะอากาศที่อยู่บริเวณปลายถุงยางอาจจะทำให้ถุงยางอนามัยแตกหรือฉีกขาดได้ง่าย
  • สวมถุงยางอนามัยให้ถูกด้านเมื่อฉีกถุงยางอนามัยออกมาจากซองแล้ว ให้หันด้านที่มีกระเปาะตรงส่วนหัวออกด้านนอก และสวมลงบนอวัยวะเพศที่แข็งตัวอยู่ ถ้าสวมถูกด้านจะสามารถรูดถุงยางอนามัยลงได้ง่าย
  • ต้องสวมถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่เท่านั้น
  • ควรใช้ถุงยางอนามัย 1 ชิ้น/1 ครั้ง ห้ามใช้ซ้ำ
  • ไม่ควรใส่ถุงยางอนามัยหลายชั้น เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสี และฉีกขาดได้ง่าย
  • ห้ามใช้ถุงยางอนามัยชาย หากอีกฝ่ายมีการใช้ถุงยางอนามัยผู้หญิงแล้ว เพราะจะเพิ่มการเสียดสี ทำให้ถุงยางรั่ว หรือแตกได้
  • ควรเก็บถุงยางอนามัยเอาไว้ในที่แห้งและเย็น
  • หลีกเลี่ยงการเก็บถุงยางนามัยในที่ที่มีความชื้นสูง ถูกแสงแดด หรือแสงฟลูออเรสเซนต์ส่องโดยตรง เช่น ในรถยนต์ ในห้องน้ำ ในกระเป๋าสตางค์ เพราะจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นไปได้หรือไม่
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เราป้องกันได้

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • แนะการใช้ถุงยางอนามัย4ขั้นตอน “เลือก เก็บ ใช้ ทิ้ง” https://www.thaihealth.or.th/Content/49255-แนะการใช้ถุงยางอนามัย4ขั้นตอน%20“เลือก%20เก็บ%20ใช้%20ทิ้ง”.html
  • ถุงยางอนามัย…กับความปลอดภัยเมื่อมีกิจกรรมรัก https://www.rama.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/08252020-1437
  • ถุงยางอนามัย ป้องกันได้แค่ไหนเมื่อมีเพศสัมพันธ์
    https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/condom_with_sex
  • วิธีใส่ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง
    https://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/how-to-put-on-a-condom/
  • ข้อดีของการใช้ ถุงยางอนามัย ที่อาจยังไม่รู้ https://new.camri.go.th/infographic/91
  • วิธีใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง https://www.pobpad.com/วิธีใส่ถุงยางอนามัยอย่