ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็น…หูดหงอนไก่

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็น…หูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่ (genital wart) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง ลักษณะเป็นหูดที่เกิดที่อวัยวะเพศ รวมทั้งที่ทวารหนัก สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อเรียกว่า human papilloma virus โดยทั่วไปมักพบ เป็นติ่งเนื้อสีชมพูรวมกันเป็นก้อนคล้ายหงอนไก่ พบได้หลายรูปแบบ อาจมีจำนวนและขนาดที่แตกต่างกันได้มาก และอาจพบได้มากกว่าหนึ่งแห่ง มักพบเป็นก้อนเนื้อผิวขรุขระ ก้อนเนื้ออาจรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียว หรือเป็นก้อนเนื้อหรือติ่งเนื้อเล็กๆหลายก้อน ตำแหน่งที่พบบ่อยเป็นที่บริเวณคอคอดของอวัยวะเพศชาย นอกจากนี้ยังพบได้มากที่บริเวณแคมช่องคลอดและปากมดลูกของเพศหญิง

อาการหูดหงอนไก่

โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อ ไวรัสเอชพีวี มักจะไม่แสดงอาการของหูดหงอนไก่ แต่บางรายหากได้รับเชื้อก็อาจมีอาการแสดงออกมาให้เห็นได้ โดยอาจเริ่มแสดงตั้งแต่หลังได้รับเชื้อไม่กี่สัปดาห์ ไปจนถึงหลายเดือน หลายปี หลังจากได้รับเชื้อครั้งแรก อาการของหูดหงอนไก่ อาจแสดงให้เห็นในลักษณะของติ่งเนื้อเรียบหรือขรุขระ เป็นตุ่ม มีสีต่างจากผิวหนัง และมีผิวบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักที่เปลี่ยนแปลงไป ในบางราย หูดที่เกิดขึ้นอาจมีลักษณะเล็กมากจนไม่สามารถวินิจฉัยได้ ขณะที่หูดที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บ แต่ก็มีบางกรณีที่มีอาการคันการอักเสบ และเป็นสาเหตุให้เกิดเลือดออกที่ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด และช่องทวารหนักได้

ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคหูดหงอนไก่อาจมีหูดหงอนไก่ขึ้นเพียงบริเวณเดียว หรือเกิดขึ้นหลายแห่ง และหูดที่ขึ้นมักมีลักษณะคล้ายกับดอกกะหล่ำ โดยหูดที่เกิดขึ้นในผู้ชายและผู้หญิง

การวินิจฉัยหูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่ สามารถให้การวินิจฉัยได้จากลักษณะประวัติอาการ และการตรวจพบหูดที่มีลักษณะดังกล่าวข้างต้น ในรายที่อาการไม่ชัดเจน อาจใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเข้าช่วย เนื่องจากเชื้อไวรัสยังเพาะเลี้ยงไม่ได้ วิธีทางห้องปฏิบัติการที่นิยมใช้เป็นวิธีการตรวจจากตัวอย่างตรวจโดยตรง เป็นการตรวจหาเซลล์ติดเชื้อ อนุภาคไวรัส หรือจีโนมของไวรัสจากชิ้นเนื้อหูด การตรวจหาจีโนมของไวรัสเอชพีวีเป็นวิธีที่มีความไวมาก เพราะในเซลล์ที่ติดเชื้ออาจมีจีโนมของไวรัสอยู่ แต่ยังไม่มีการแสดงออก เซลล์ติดเชื้อจึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง สร้างแอนติเจน หรืออนุภาคไวรัส ออกมาให้ตรวจพบ

วิธีป้องกันหูดหงอนไก่

การป้องกันการติดโรคหงอนไก่ ปัจจุบันไม่มีวิธีรักษาหูดหงอนไก่ได้ 100% แต่เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวี ควรปฏิบัติด้วยวิธี ดังต่อไปนี้

  • มีเพศสัมพันธ์เฉพาะคู่นอนของตน
  • ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • เมื่อพบรอยโรคต้องสงสัยหรือความผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ ควรรีบพบแพทย์
  • ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV

การรักษาหูดหงอนไก่

แม้ว่าหูดจะค่อยๆยุบหายไปเองได้ แต่กินเวลานาน และถ้าเป็นติ่งเนื้องอกใหญ่ๆตามบริเวณที่ชื้นแฉะ จะมีโอกาสหายเองได้น้อย ถ้าปล่อยให้ผู้ป่วยมีหูดที่อวัยวะสืบพันธุ์นานๆ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ วิธีการรักษาโดยทาด้วยสารที่สกัดมาจากยางไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่า podophylline พบว่าได้ผลดี แต่อาจมีอันตรายข้างเคียงของยา และไม่ควรใช้ยานี้นานเกินกว่าหนึ่งเดือนจี้ด้วยไฟฟ้า หรือจี้โดยใช้ความเย็น เช่น ก๊าซไนโตรเจนเหลว ทำการผ่าตัดออก การจี้ด้วยเลเซอร์ สามารถใช้ได้ผลดี โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ยากต่อการรักษา ในกรณีที่เป็นตอนตั้งครรภ์ อาจทำให้ไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ ต้องใช้การคลอดด้วยการผ่าตัดแทน สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนมะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นวัคซีนชนิดผสมเชื้อไวรัสรวมสี่ชนิด ได้แก่ HPV types 6, 11, 16, 18 ซึ่งปัจจุบันใช้กันอย่างแพร่หลายในการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูก พบว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถป้องกันการเกิดโรคหูดหงอนไก่ได้เช่นกัน ป้องกันการติดโรคใหม่โดยตรวจคู่เพศสัมพันธ์ หรือหลีกเลี่ยงแหล่งที่อาจมีเชื้อไวรัส

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นหูดหงอนไก่

  • พบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ
  • หมั่นตรวจอวัยวะเพศตัวเองเพื่อหารอยโรค
  • งดมีเพศสัมพันธ์ หากจำเป็นควรใช้ถุงยางอนามัย เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์เป็นประจำหลังสัมผัสรอยโรค
  • งดสูบบุหรี่ ดื่มสุรา สารเสพติด
  • งดสำส่อนทางเพศ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้หญิงที่เป็นหูดหงอนไก่บริเวณปากมดลูก อาจเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก ควรตรวจหามะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละครั้ง
  • ระหว่างรักษาหูดหงอนไก่ หากมีอาการผิดปกติ หรือกังวลใจในอาการที่เป็นอยู่ ควรรีบพบแพทย์ก่อนนัด

ขอบคุณข้อมูล : bangkokhealth thairath pobpad

บทความที่เกี่ยวข้อง

หูดหงอนไก่…ป้องกันได้อย่างไร ?

หูดหงอนไก่…ป้องกันได้อย่างไร ?

หูดชนิดนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก คือ ติดต่อได้จากผิวหนังสู่ผิวหนัง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบในผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่  จะขึ้นที่บริเวณอวัยะเพศ สามารถพบได้ทั้งในชายและหญิง แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

โรคหูดหงอนไก่ คืออะไร?

โรคหูดหงอนไก่ (Genital warts, Condyloma acuminata)  เกิดจากการเชื้อไวรัส ฮิวแมน แปปิโลมา (Human Papilloma Virus – HPV) โดยมีลักษณะเป็นตุ่มๆ หรือติ่งเนื้อสีชมพู หรือขาว ผิวขรุขระเป็นหยักคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ บริเวณที่พบส่วนมากจะเป็นบริเวณปากช่องคลอด รองลงมาคือที่แคมคลิตอริส รอบทวารหนัก ผนังช่องคลอด และปากมดลูก โดยจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่จะพบได้ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ทั้งหญิง และชาย แต่ส่วนใหญ่จะพบได้ในผู้หญิงมากกว่า ในบางครั้งอาจเรียกโรคนี้ว่า หงอนไก่, หูดอวัยวะเพศ หรือ หูดกามโรค

โรคหูดหงอนไก่เกิดที่ไหนบ้าง

  • ในผู้หญิง พบได้ที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูกทวารหนักและบริเวณฝีเย็บ หูดอาจมีขนาดเล็กๆ หรือโตมาก การตั้งครรภ์จะทำให้หูดโตเร็วกว่าปกติ
  • ในผู้ชาย มักพบใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เส้นสองสลึง และรูเปิดท่อปัสสาวะ และอาจพบบริเวณรอบทวารหนักในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • ในทารก ที่คลอดผ่านช่องคลอดของมารดาที่มีหูดหงอนไก่ อาจจะทำให้เกิดโรคซึ่งมีอาการแตกต่างกัน ตั้งแต่เสียงแหบจนถึงมีการอุดกั้นของกล่องเสียง

สาเหตุการเกิดโรคหูดหงอนไก่

โรคหูดหงอนไก่ เป็นหูดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ฮิวแมน แปปิโลมา (Human Papilloma Virus – HPV) ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีเชื้อชนิดนี้กว่า 200 สายพันธุ์ย่อย บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดที่ผิวหนัง บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ บางสายพันธุ์ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์และทางเดินอุจจาระ 

สำหรับเชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่นั้น พบว่าประมาณ 90% เกิดจากสายพันธุ์ย่อย 6 และ 11 ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดโรคมะเร็งค่อนข้างต่ำ (ส่วนเชื้อชนิดที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์และทางเดินอุจจาระ คือ HPV สายพันธุ์ย่อย 16 และ 18 ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้คือ สายพันธุ์ 33, 35, 39, 40, 43, 45, 51-56, 58)

ส่วนใหญ่โรคนี้มักติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก มักพบได้ในกลุ่มวัยรุ่น และที่พบได้ในจำนวนน้อยมาก ๆ คือการติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในระหว่างการคลอด ในกรณีที่เด็กคลอดผ่านช่องคลอดของแม่ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่

ผู้ที่สัมผัสเชื้อนี้อาจจะไม่ติดโรคทุกราย เพราะขึ้นอยู่กับภาวะภูมิคุ้มกันและจำนวนเชื้อที่ได้รับ โดยเมื่อผิวหนังได้รับเชื้อหรือติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ผ่านทางรอยถลอกที่ผิวหนัง ก็จะมีระยะฟักตัวของโรคที่ยังไม่แสดงอาการได้หลายเดือนหรือหลายปี เมื่อผ่านระยะฟักตัวไปแล้ว เชื้อไวรัสก็จะเกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิดการสร้างเซลล์ที่ผิดปกติในชั้นผิวหนัง โดยปกติแล้วร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้ออกได้เอง แต่มีส่วนน้อยที่เชื้อไวรัสจะไม่ถูกกำจัด และหากเป็นไวรัสสายพันธุ์รุนแรงก็จะมีโอกาสเกิดเป็นมะเร็งในตำแหน่งที่เกิดการติดเชื้อได้

สาเหตุของการเกิดซ้ำ

โรคหูดหงอนไก่ สามารถเกิดซ้ำได้ถึงร้อยละ 30-70 ในระยะเวลา 6 เดือนหลังสิ้นสุดการรักษา สาเหตุเป็นได้ตั้งแต่ยาไม่มีประสิทธิภาพ การติดเชื้อซ้ำจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการเกิดรอยโรคจากเชื้อในร่างกายตนเอง 

อาการของโรคหูดหงอนไก่

  • คนส่วนใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดี หลังจากได้รับเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายแล้วมักจะไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมา เชื้อเหล่านี้ก็จะถูกกำจัดออกไปได้เองภายใน 2 ปี (ยกเว้นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ) แต่ก็ยังมีผู้ติดเชื้อบางส่วนที่อาจแสดงอาการออกมาให้เห็นหลังรับเชื้อเข้าไปแล้วหลายเดือนหรือหลายปี
  • มีอาการคัน หรือไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นมากก้อนเนื้อหูดก็จะใหญ่ขึ้นและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ในผู้ชายอาจมีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก ส่วนในผู้หญิงอาจตามมาด้วยอาการมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 
  • นอกจากนี้ในกรณีของหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่มีอาการตกขาว หรือในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เช่น เป็นผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด หูดหงอนไก่จะเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ (ในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อนี้จะมีอาการของโรคมากกว่าคนทั่วไป ส่วนในผู้ป่วยเอดส์จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ซึ่งมักจะขึ้นหลายแห่งและเป็นแบบเรื้อรัง)

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงติดเชื้อโรคหูดหงอนไก่

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันด้วยถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย (เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหูดหงอนไก่มากขึ้น)
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ (ชายรักชาย)
  • ผู้ที่มีคู่นอนมีการติดเชื้อหูดหงอนไก่
  • การถูกข่มขืนกระทำชำเรา (เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากพบโรคนี้ในเด็กจำเป็นต้องสืบหาเกี่ยวกับการถูกข่มขืนกระทำชำเราด้วย) 
  • ผู้ชายที่ไม่ได้ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ (ผู้ที่ยังไม่ได้ขลิบหนังหุ้มปลายจะมีการกำจัดเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ช้ากว่า)
  • ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน HPV
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

การป้องกันโรคหูดหงอนไก่

1.มีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่นอนของตน และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ เพราะจะยิ่งมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น

2.หากต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) แม้การใช้ถุงยางอนามัยอาจไม่สามารถป้องกันหูดหงอนไก่ได้ 100% แต่ก็เป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี 

3.เมื่อพบรอยโรคต้องสงสัยหรือความผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาให้หายก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคไปสู่บริเวณเนื้อเยื่อเมือกอื่น ๆ หรือการติดต่อสู่ผู้อื่น

4.ในปัจจุบันได้มีการผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV 4 สายพันธุ์สำคัญออกมาในเข็มเดียวกัน คือ 

  • HPV 6, 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ 
  • HPV 16,18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด และมะเร็งทวารหนัก  

ซึ่งวัคซีนนี้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ย่อย 6, 11, 16, 18 หากฉีดก่อนการติดเชื้อ ดังนั้นควรแนะนำให้มีการฉีดทั้งในเด็กหญิงและเด็กชายที่มีอายุระหว่าง 11-12 ปี สำหรับการป้องกันหูดหงอนไก่ หลังจากฉีดวัคซีนแล้วก็ยังแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยต่อไปและมีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่นอนของตน

การรักษาโรคหูดหงอนไก่

ทาด้วยยาโพโดฟิลลิน

(Podophyllin) ชนิด 25% แต่ต้องระวังไม่ให้ถูกเนื้อดี โดยให้ใช้วาสลีนทาปิดเนื้อดีโดยรอบเอาไว้ก่อน หลังจากทายาประมาณ 4-6 ชั่วโมงแล้วให้ล้างออก และต้องทาซ้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจนกว่ารอยโรคจะหาย ซึ่งมักจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดของรอยโรค

ทาด้วยกรดไตรคลอโรอะซิติก หรือ ทีซีเอ

(Trichloroacetic Acid – TCA) ชนิด 50-70% โดยไม่ต้องล้างออก และระวังอย่าให้ถูกผิวหนังที่ดี หลังจากทายาประมาณ 1 ชั่วโมงไม่ควรให้บริเวณที่ทายาโดนน้ำ และต้องรักษาซ้ำทุก 2 สัปดาห์จนกว่ารอยโรคจะหมดไป ตัวยานี้จะมีฤทธิ์ทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย ทำให้หูดที่มีก้านหลุดออกไปภายใน 2-3 วัน 

ทาด้วยครีมอิมิควิโมด

(Imiquimod cream) ชนิด 5% เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้กำจัดเชื้อเอชพีวี (HPV) ออกไป โดยให้ทายานี้วันเว้นวันในช่วงก่อนเข้านอน ติดต่อกันเป็นเวลา 16 สัปดาห์ เป็นวิธีรักษาในหูดหงอนไก่ชนิดราบที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณเยื่อเมือก ยาทานี้มีราคาแพง แต่ผู้ป่วยสามารถนำกลับมาทาเองที่บ้านได้ 

ทาด้วยยาโพโดฟิลอกซ์

(Podofilox) ชนิด 0.5% มีทั้งรูปแบบเจลและครีม ผู้ป่วยสามารถนำมาใช้ทาเองได้ที่บ้าน โดยวิธีการใช้ให้ทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน แล้วเว้น 4 วัน แต่ไม่เกิน 4 รอบ 

รักษาด้วยการจี้ไฟฟ้า

(Electrocauterization) หรือจี้ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (Laser ablation) เพื่อตัดรอยโรคออก ใช้วิธีลดความเจ็บปวดในการรักษาด้วยการฉีดยาชาเฉพาะที่ แพทย์มักใช้รักษาหูดขนาดใหญ่ที่รักษาด้วยวิธีอื่นมาแล้วแต่ไม่ได้ผล

รักษาด้วยการจี้ด้วยความเย็น

(Cryotherapy) เป็นการใช้ไม้พันสำลีชุบด้วยไนโตรเจนเหลว (Liquid nitrogen) แล้วนำมาป้ายหรือพ่นเป็นสเปรย์ลงที่รอยโรค เพื่อให้ความเย็นสัมผัสรอยโรคเป็นเวลานานประมาณ 10-15 วินาที และต้องระวังอย่าให้ถูกผิวหนังที่ดี ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บปวดบ้างในขณะทำการรักษา แต่เป็นระดับที่สามารถทนได้โดยไม่ต้องใช้ยาชา และภายหลังการรักษาอาจทำให้มีรอยดำได้ การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำซ้ำทุก 2 สัปดาห์จนกว่ารอยโรคจะหาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของรอยโรค7. รักษาด้วยวิธีการตัดหูดหงอนไก่ออกด้วยมีดผ่าตัด (Surgical excision) โดยจะอาศัยการฉีดยาชาเฉพาะที่ วิธีการรักษานี้เป็นวิธีที่ช่วยลดการกลับมาเป็นซ้ำของหูดหงอนไก่ได้มากที่สุด มักใช้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ หรือในรายที่เป็นหูดหงอนไก่ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์

บทความที่เกี่ยวข้อง