ตรวจเอชไอวี สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ตรวจเอชไอวี
ตรวจเอชไอวี

ในการเผชิญกับ HIV/AIDS ตรวจเอชไอวี เป็นหนึ่งในวิธีการที่สำคัญที่สุดในการป้องกันเอชไอวี การตรวจนั้นเพื่อพยายามลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสและให้การดูแลและรักษาทันท่วงทีแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ความสำคัญของการตรวจเอชไอวี เป็นสิ่งที่สามารถระบุบุคคลที่ติดเชื้อ เพื่อทำให้สามารถเข้าถึงการรักษาและทำให้สามารถควบคุมสุขภาพของตนเองได้ แคมเปญการสร้างการรับรู้ การตระหนัก และความก้าวหน้าทางการแพทย์เอชไอวี จะทำให้เอชไอวีไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป เราจะศึกษาความสำคัญของการตรวจเอชไอวี และเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

ตรวจเอชไอวี

การตรวจเอชไอวี หมายถึงกระบวนการที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี ในร่างกายของแต่ละคน การตรวจนั้นสามารถทำได้ผ่านวิธีต่างๆ เช่น การตรวจเลือด การตรวจน้ำลาย และการตรวจอย่างรวดเร็วที่ให้ผลลัพธ์ในเวลาไม่กี่นาที วัตถุประสงค์หลักของการตรวจเอชไอวี คือการระบุบุคคลที่ติดเชื้อไวรัสเพื่อให้ได้รับการดูแลและการรักษาที่เหมาะสมเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีขึ้นและป้องกันการแพร่เชื้อ

รูปแบบของการตรวจเอชไอวี

ตรวจเอชไอวี

การตรวจเอชไอวีนิยมใช้วิธี 4 วิธีหลักๆในการตรวจคือ

ตรวจเอชไอวี แบบ Antibody

การตรวจเอชไอวีแบบ แอนติบอดี้ (Antibody) นี้เป็นการตรวจหาภูมิต้านทานที่ร่างกายผลิตเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวี สามารถทำด้วยการเก็บตัวอย่างเลือด น้ำลาย หรือปัสสาวะ การตรวจภูมิต้านทานเป็นประเภทที่พบมากที่สุด ซึ่งรวมถึงการตรวจแบบด่วนที่ให้ผลลัพธ์ในไม่กี่นาทีและการตรวจในห้องปฏิบัติการที่อาจใช้เวลานานกว่าแต่มีความแม่นยำมากกว่า การตรวจเอชไอวีแบบ Antibody เป็นวิธีที่สะดวกและมีประสิทธิภาพในการค้นหาการติดเชื้อเอชไอวีและสามารถช่วยให้ทราบสถานะของเอชไอวีได้อย่างรวดเร็ว แต่จะมีระยะเวลาที่ต้องรอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง โดยมักให้คำแนะนำให้ตรวจซ้ำอีกครั้งในระยะเวลาที่เหมาะสม หากมีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในอดีตหรือหากผลลัพธ์อยู่ในระหว่างช่วงเวลายังไม่แน่นอนสำหรับการติดเชื้อ ให้ติดต่อแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพของตนเอง

ตรวจเอชไอวีโดยการตรวจ Antigen

การตรวจเอชไอวีแบบ แอนติเจน (Antigen) เป็นการตรวจหาโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นโดยเชื้อไวรัสเอชไอวีเอง เรียกว่า Antigen P24 ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกิดขึ้นในระยะต้นของการติดเชื้อเอชไอวีและเป็นสิ่งที่แสดงความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ การตรวจแอนติเจน P24 เป็นวิธีการตรวจที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการค้นหาการติดเชื้อเอชไอวี ในช่วงเริ่มต้นของการติดเชื้อ โดยส่วนใหญ่จะใช้ร่วมกับการตรวจภูมิต้านทาน HIV (Antibody Test) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย การทดสอบแอนติเจน P24 มักจะนำมาใช้ในการตรวจแบบรวดเร็ว โดยการเจาะเลือดหรือเก็บตัวอย่างน้ำลาย และสามารถให้ผลลัพธ์ภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงได้

ตรวจเอชไอวีแบบ NATs

การตรวจเอชไอวีแบบ Nucleic Acid Tests (NATs) เป็นการตรวจหาสารสารพันธุกรรม (RNA) ของเชื้อไวรัสเอชไอวี ในตัวอย่างเลือด เป็นการตรวจที่มีความรวดเร็วและมีความแม่นยำสูงในการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี โดยพบว่า NATs มักให้ผลการตรวจมีความรวดเร็วมากกว่าการตรวจเอชไอวีแบบภูมิต้านทาน (Antibody Test) และแอนติเจน (Antigen Test) โดย NATs สามารถตรวจหาการติดเชื้อได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่า นอกจากนี้ NATs ยังมีความสามารถในการตรวจจับการติดเชื้อในระยะเวลาที่เริ่มต้นของการติดเชื้อเอชไอวี การตรวจเอชไอวีแบบ NATs มักใช้ในกรณีที่ต้องการการยืนยันการติดเชื้อ HIV หลังจากผลการทดสอบอื่น ๆ เช่น การตรวจแอนติเจนหรือภูมิต้านทานแล้วมีผลเป็นบวก

ตรวจเอชไอวีแบบ Rapid HIV Test

ตรวจเอชไอวีแบบ Rapid HIV Test เป็นการตรวจที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปจะใช้ตัวอย่างน้ำลายหรือเลือด การตรวจแบบ Rapid HIV Test มักจะให้ผลลัพธ์ในเวลาเพียงไม่กี่นาที โดยไม่ต้องส่งตัวอย่างไปที่ห้องปฏิบัติการ และผู้ที่ทำการตรวจสามารถรับผลลัพธ์ได้ในทันที การตรวจเอชไอวีแบบ Rapid HIV Test มักใช้ร่วมกับการตรวจภูมิต้านทาน (Antibody Test) ซึ่งตรวจหาการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี การตรวจแบบ Rapid HIV Test มักให้ผลลัพธ์ได้สะดวกรวดเร็ว ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ในบริการที่มีความต้องการในการตรวจสอบการติดเชื้อโดยรวดเร็ว เช่น อนามัย หรือในโครงการการป้องกันและควบคุมโรคที่จัดทำโดยองค์การสาธารณสุขต่างๆ เพื่อการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีในประชาชนทั่วไปได้ง่ายขึ้น

ตรวจเอชไอวี โดยใช้ชุดตรวจด้วยตนเอง HIV Self-Testing

การตรวจเอชไอวีโดยใช้ชุดตรวจด้วยตนเองหรือ HIV Self-Testing เป็นวิธีการตรวจที่ให้ผู้ทดสอบสามารถทำการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองได้ ชุดตรวจด้วยตนเองประกอบด้วยชุดตรวจและคู่มือการใช้งาน ที่ช่วยให้ผู้ตรวจสามารถเก็บตัวอย่างและทำการตรวจตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในคู่มือได้อย่างถูกต้อง วิธีการใช้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองมักเป็นไปได้ง่ายและไม่ซับซ้อน และต้องทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้งาน หลังจากทำการตรวจเสร็จสิ้น ผู้ทดสอบจะได้รับผลลัพธ์ภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง และสามารถตีความผลลัพธ์ได้ด้วยตนเอง การตรวจเอชไอวีด้วยตนเองช่วยให้ผู้ตรวจได้รับผลลัพธ์อย่างรวดเร็วและเพิ่มความสะดวกสบายในการตรวจสอบสุขภาพของตนเองได้อย่างเป็นส่วนตัว

ผลตรวจเอชไอวีบ่งบอกอะไรบ้าง

ผล ตรวจเอชไอวี สามารถแบ่งออกเป็นผลลัพธ์เชิงลบ (Negative) และผลลัพธ์เชิงบวก (Positive) ดังนี้:

ผลลัพธ์เชิงลบ (Negative Result)

หากผลการตรวจแสดงผลลัพธ์เชิงลบ หมายความว่าไม่พบการติดเชื้อเอชไอวีในตัวอย่างที่ได้ทำการตรวจสอบผู้ตรวจที่ได้รับผลลัพธ์เชิงลบแล้ว ยังคงต้องระมัดระวังและติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากเคยมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอดีตหรือมีความเสี่ยงในอนาคต

ผลลัพธ์เชิงบวก (Positive Result)

หากผลการตรวจแสดงผลลัพธ์เชิงบวก หมายความว่าพบการติดเชื้อเอชไอวีในตัวอย่างที่ได้ทำการตรวจสอบผู้ตรวจที่ได้รับผลลัพธ์เชิงบวกจำเป็นต้องพบแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาอย่างถูกวิธี และการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส

การตรวจเอชไอวีมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาสุขภาพ หากมีคำถามหรือข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับผลการตรวจ ควรปรึกษาแพทย์หรือเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมและควรตรวจซ้ำอีกครั้งตามความเห็นของแพทย์เพื่อความถูกต้องของผลตรวจ

หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวีควรทำอย่างไร

  • พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเข้ารับการรักษาทันที: พบแพทย์หรือศูนย์บริการเอชไอวีในพื้นที่ของคุณทันที เพื่อขอคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม
  • เริ่มรับการรักษา (ART): การรักษา HIV ในปัจจุบันมีการให้ยากลุ่ม Antiretroviral Therapy (ART) ที่ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสและทำให้ CD4 เพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นโรคเอดส์ และเพิ่มขึ้นคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษา: สำหรับการรักษาด้วยยา ART ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงการรับประทานยาตามตารางเวลาที่กำหนด และไม่ควรหยุดยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์
  • ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส: ควรใช้ถุงยางอนามัยในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น

ใครบ้างที่ควร ตรวจเอชไอวี

  1. มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  2. มีเพศสัมพันธ์ร่วมกันหลายคน
  3. ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  4. ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  5. พนักงานด้านการให้บริการทางเพศ
  6. ผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  7. หญิงตั้งครรภ์

การเข้าถึงการตรวจเอชไอวีอย่างง่ายดาย

เราสามารถเข้าถึงบริการตรวจเอชไอวีได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วโดยผู้ใช้สามารถใช้แอปพลิเคชัน Love2Test เพื่อทำการจองคิวออนไลน์สำหรับการตรวจเอชไอวีได้โดยไม่ต้องติดต่อศูนย์บริการด้วยตนเอง แอปพลิเคชันนี้มีคุณสมบัติในการค้นหาสถานที่ที่มีการตรวจเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใกล้บ้าน และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกที่จะนัดหรือเดินทางไปยังสถานที่ตรวจได้ตามความสะดวกของตนเอง โดยแอปพลิเคชัน Love2Test เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่มุ่งเน้นให้การตรวจเอชไอวีเป็นสิ่งที่สะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่ายแก่ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และเป้าหมายของแอปพลิเคชันนี้คือการเพิ่มการเข้าถึงและการใช้บริการการตรวจเอชไอวีในสังคมสร้างสังคมที่ไร้ปราศจากเอชไอวี

สุดท้ายแล้วการตรวจเอชไอวีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการป้องกันเอชไอวี เพราะสามารถรับรู้สถานะของตนเอง เป็นวิธีที่สำคัญในการคัดกรองเชื้อ รับรู้สถานะ เข้ารับการรักษา และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอชไอวีในสังคม

เอดส์ คืออะไร? รู้ไว้ป้องกันได้

AIDS
เอดส์

เอดส์ เป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดของสาธารณสุขระดับโลก ตั้งแต่การเริ่มต้นในช่วงต้นของยุค ค.ศ. 1980 เมื่อนักวิจัยพบว่ามีผู้ติดเชื้อเอดส์จำนวนมาก ไม่เพียงแค่เกิดการสูญเสียเป็นล้านๆ แต่ยังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของสุขภาพ วิทยาศาสตร์ และทัศนคติทางสังคมทั่วโลก โดยเริ่มมาจาก (HIV) ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมเสีย ทำให้ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง แม้มีการวิจัยและความก้าวหน้าในการรักษาและป้องกันเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่เอดส์ยังคงมีผลกระทบโดยสำคัญ โดยเฉพาะในที่ที่เข้าถึงการรักษาได้ยากหรือการเข้าถึงความรู้ในเรื่องนี้ได้น้อย

เอดส์ คืออะไร?

เอดส์ (AIDS) ย่อมาจากคำว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HIV (Human Immunodeficiency Virus) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง และทำให้ร่างกายมีความอ่อนแอต่อโรค HIV จะโจมตีระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์ CD4 (หรือเรียกว่าเซลล์ T) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ โดยพบว่าผู้ป่วยเอดส์มักจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและมะเร็งบางประเภท ซึ่งโรคเอดส์มักมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ป่วย โดยยังไม่มีวิธีรักษาสมบูรณ์เพียงอย่างเดียว แต่สามารถควบคุมโรคและป้องกันการเจริญของไวรัสได้ด้วยการใช้ยาต้านเอดส์ (Antiretroviral Drugs) และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

อาการของเอชไอวี

อาการของโรคเอดส์สามารถแตกต่างไปตามระยะของโรคและสุขภาพโดยรวมของแต่ละบุคคล ในระยะเริ่มต้น ที่เรียกว่าการติดเชื้อเอชไอวี บุคคลอาจมีอาการเช่นไข้, อ่อนเพลีย, ผื่น,ปวดหัว,และอาการเหงื่อเยอะขึ้นในตอนกลางคืน ในระยะแฝง ไวรัสเอชไอวี อาจไม่ทำให้เกิดอาการที่เห็นได้ แต่ไวรัสยังคงเป็นอยู่และสามารถถ่ายทอดไปยังผู้อื่นได้ ในระยะโรคเอดส์เต็มขั้น อาการอาจรวมถึงอาการอ่อนเพลีย, น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว, ไข้เรื้อรังหรือเหงื่อเยอะขึ้นในตอนกลางคืน, ท้องเสียเรื้อรัง, จุดขาวติดต่อกันหรือแผลในปาก, ไอและเหนื่อยหายใจอย่างต่อเนื่อง, ผื่นหรือก้อนผิวหนังและสภาวะปัญหาทางสมองเช่นการสูญเสียความจำและภาวะซึมเศร้า แต่อาการเหล่านี้ยังสามารถเกิดจากโรคอื่น ๆ และอาการดังกล่าวไม่จำเป็นต้องแสดงว่าเป็นเอดส์ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการเช่นนี้ โดยเฉพาะถ้าพวกเขามีพฤติกรรมที่อาจทำให้ติดเชื้อ HIV ควรพบแพทย์และทำการตรวจ HIV โดยเร็ว การตรวจและรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถช่วยดูแลคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV/AIDS ได้อย่างดี

เอดส์

สาเหตุของเอดส์

เอดส์ เกิดจากไวรัส HIV ซึ่งโจมตีและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียหายโดยการติดเชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อ จากนั้นเมื่อไวรัสเจริญเติบโตและทำลายเซลล์ CD4 ให้ลดลงมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันก็จะเสื่อมลงเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

HIV มักจะถูกแพร่กระจายผ่านทาง:

  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน: HIV สามารถถูกแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ช่องคลอด, ทางท่ออาหาร, หรือช่องปากกับคนที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะหากมีแผลเปิด
  2. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น: การแบ่งปันเข็มฉีดหรืออุปกรณ์ฉีดอื่น ๆ ที่มีเลือดเชื้อไวรัส HIV สามารถแพร่กระจายได้
  3. การถ่ายทอดจากแม่ไปยังลูก: HIV สามารถถ่ายทอดจากแม่ที่ติดเชื้อไปยังลูกขณะตั้งครรภ์, ในขณะที่คลอด, หรือในช่วงการให้นม อย่างไรก็ตาม การแก้ไขทางการแพทย์อย่างเหมาะสมเช่นการใช้ ยาต้านไวรัส (ART) สามารถลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดจากแม่ไปยังลูกได้อย่างมาก
  4. เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ: การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้นเนื่องจากไม่สามารถทราบได้ว่าใครมีเชื้อเอชไอวีบ้าง

เอดส์ ป้องกันได้จริงไหม?

การป้องกันเอดส์สามารถป้องกันได้จริงและเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากไม่มีวิธีรักษาที่สมบูรณ์สำหรับโรคนี้ ดังนั้นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อมีความสำคัญอย่างมากในการควบคุมการแพร่กระจายของโรคนี้ ที่สำคัญควร หมั่นตรวจเอชไอวี เป็นประจำเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพทางเพศที่ดีมากขึ้นและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆที่นำไปสู่การติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นไวรัสสำคัญที่จะนำไปสู่ระยะที่เรียกว่าเอดส์

หากสงสัยว่าติดเชื้อเอชไอวีควรทำอย่างไร

  1. ทำการตรวจ: ขั้นแรกคือการทำการตรวจ HIV เพื่อตรวจสอบว่าคุณมีเชื้อไวรัส HIV ที่เป็นสาเหตุของเอดส์หรือไม่ การตรวจ HIV สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่สถานพยาบาล คลินิก หรือศูนย์ตรวจ
  2. ปรึกษาแพทย์: หากผลการตรวจ HIV ของคุณมีผลบวก ต้องรีบพบแพทย์ทันที แพทย์สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวเลือกในการรักษาและช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งที่ควรคาดหวัง
  3. เริ่มการรักษา: เอดส์เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาได้ ด้วยการให้ยาต้านไวรัส (ART) เป็นการรักษาหลัก ยาต้านไวรัส ART สามารถควบคุมไวรัส ป้องกันการเจริญเติบโตของโรคและช่วยให้คุณมีชีวิตที่ยาวนานและสุขภาพดี
  4. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์:การปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับการรักษา การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและการตรวจสุขภาพเป็นประจำ แพทย์อาจแนะนำการปรับปรุงรูปแบบการดูแลสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจอีกด้วย
  5. การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและการลดความเสี่ยง: หากคุณมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ยาเสพติด ควรดำเนินการอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ HIV รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การใช้ถุงยางอย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการแบ่งปันเข็มฉีดหรืออุปกรณ์เสพติดอื่น ๆ
การรักษาเอชไอวี

การรักษาเอชไอวี

ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาเอดส์ที่หายขาดแต่เน้นไปที่การควบคุมการเจริญของเชื้อไวรัส HIV ในร่างกายเพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นเอดส์ การใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ (ART) เป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ที่ช่วยลดการเติบโตของไวรัสในร่างกาย เมื่อใช้รักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นเอดส์และสามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีอายุขัยนานขึ้น การรักษาโรคแทรกซ้อน จำเป็นต้องรักษาด้วยยาประจำโรคและการดูแลอาจจำเป็นตามความเหมาะสม การตรวจสอบสุขภาพและการติดตามการทานยาตามคำสั่งของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ ทำให้สามารถควบคุมการแพร่เชื้อของไวรัสและสามารถควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การรักษาเอดส์ยังต้องมีการดูแลสุขภาพอื่นๆร่วมด้วย เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การบริโภคอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน การงดสูบบุหรี่และเลิกดื่มแอลกอฮอล์ การเพิ่มความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างผู้ติดเชื้อและทีมด้านการแพทย์ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้น

การป้องกันเอชไอวีต้องใช้วิธีการที่ครอบคลุมทุกด้านของโรค เรื่องการศึกษาและการเผยแพร่ความรู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพฤติกรรมที่ปลอดภัย เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การใช้เข็มที่สะอาด และการทำการตรวจ HIV เป็นประจำ การเข้าถึงบริการการตรวจและการปรึกษาเรื่อง HIV เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาในระยะเริ่มต้น นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก HIV/AIDS การส่งเสริมเท่าเทียมระหว่างเพศ การแก้ไขปัจจัยสังคมที่ส่งผลต่อสุขภาพ และการให้บริการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพก็เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันเอดส์ โดยการนำเสนอวิธีการแบบหลายส่วนและการทำงานร่วมกัน เราสามารถดำเนินการต่อเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ HIV/AIDS และลดผลกระทบต่อบุคคลและสังคมได้อย่างต่อเนื่อง

เอดส์ (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome)

เอดส์ (AIDS Acquired Immune Deficiency Syndrome)
เอดส์ (AIDS Acquired Immune Deficiency Syndrome)

เอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immune Deficiency Syndromes) คือ กลุ่มอาการของโรคฉวยโอกาส เกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปจนถึงระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจนทำให้ผู้ป่วยมีจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ลดลง จนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย  ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคแทรกซ้อนที่เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส  ซึ่งทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ และอาการอาจจะรุนแรงจนเสียชีวิตในที่สุด

  • A = Acquired    หมายถึง สภาวะที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด
  • I = Immune     หมายถึง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกาย
  • D = Deficiency  หมายถึง ความเสื่อมลง
  • S = Syndrome   หมายถึง กลุ่มอาการ หรืออาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะระบบใดระบบหนึ่ง

สาเหตุของเอดส์

สาเหตุของการเกิด โรคเอดส์ มาจากการได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV) ผ่านทางการรับของเหลว เช่น เลือด น้ำนมแม่ น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะได้รับผ่านจากการมีเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับบุคคลอื่น ทั้งนี้การที่ไวรัสส่งผ่านทางของเหลวทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี สามารถส่งผ่านเชื้อไวรัสจากแม่ไปยังลูกในครรภ์ หรือผ่านทางน้ำนม 

เอดส์อาการเป็นอย่างไร ?

  • ระยะเฉียบพลัน ในระยะแรกนี้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี จะมีอาการไข้ เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งเป็นอาการตอบสนองของร่างกายจากการได้รับเชื้อ
  • ระยะสงบ ระยะนี้สามารถกินเวลาเป็นหลายปี มักจะไม่มีอาการแสดงที่เด่นชัด หรือแทบจะไม่มีอาการป่วยเลย แต่ยังคงมีเชื้อพัฒนาอยู่ภายในร่างกาย
  • ระยะเอดส์ เป็นระยะที่เข้าสู่การเป็นโรคเอดส์ ซึ่งภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ป่วยถูกทำลายไปจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คือ มีเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 น้อยกว่า 200 cumm. และมีความเสี่ยงสูงที่จะติดโรคฉวยโอกาสซึ่งมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น โรคปอดอักเสบ การติดเชื้อราที่ทำให้เนื้อเยื่ออักเสบในปาก ช่องคลอด ปอด หรือการติดเชื้อไวรัสที่เป็นอันตรายกับตา ก่อเป็นวัณโรค จนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้
เอดส์ กับ เอชไอวี ต่างกันอย่างไร

เอดส์ กับ เอชไอวี ต่างกันอย่างไร ?

เอดส์ กับ เอขไอวี มีความแตกต่างกัน เพราะการติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่โรค แต่เป็นการที่ร่างกายได้รับไวรัสเอชไอวีเข้าไปนั้นจะยังไม่แสดงอาการรุนแรงในระยะแรก ทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีแล้วบางคนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวี ก็ทำให้ไม่ได้รับการรักษา เป็นผลทำให้การติดเชื้อเอชไอวีจากแรกเข้าสู่ระยะที่สองคือระยะเเพร่เชื้อ และเข้าสู่ระยะที่เริ่มแสดงอาการ เช่น เป็นไข้ ท้องร่วง เป็นงูสวัด ถ้าหากยังไม่ได้รับยาต้านไวรัส ปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกายก็จะสูงขึ้นจนไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรียกว่า ระยะเอดส์ หรือ สรุปง่ายๆเอดส์ คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวีนั่นเอง

การป้องกันเอดส์

เอดส์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด ดังนั้นควรป้องกันโดยเอาใจใส่พฤติกรรมทางเพศของตนให้ปลอดภัยมากขึ้น เช่น สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ หมั่นตรวจเอชไอวีเป็นประจำ รวมทั้งรักษาสุขอนามัยโดยหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

เอดส์รักษาอย่างไร ?

ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใดที่จะกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดไปได้ในร่างกายของคนเรา มีเพียงแต่ยาที่จะช่วยชะลอการพัฒนาของโรค คือ ยาต้านเอชไอวี หรือยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) หากผู้ป่วยได้รับยาตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกที่ได้รับเชื้อ ยาจะออกฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไวรัสมีการแพร่กระจายและพัฒนาไปสู่การเจ็บป่วยในขั้นที่รุนแรง

ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็นโรคเอดส์

ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็นโรคเอดส์

  • รับประทานยาต้านไวรัสให้ตรงเวลา
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • งดสิ่งเสพติดทุกชนิด
  • ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง (แต่ไม่ควรหักโหม)
  • ลดความเครียดโดยการหากิจกรรมที่ชอบทำหรือกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
  • ดูแลตัวเองในด้านสุขอนามัยเพื่อไม่ให้เกิดโรคฉวยโอกาสและเพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

ผู้ป่วยควรรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะจะช่วยให้มีสุขภาพดี และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

ตรวจเอชไอวี..ประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

ตรวจเอชไอวี..ประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

ปัญหาการติดเชื้อเอชไอวี และเอดส์ เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตทั่วโลก และยังเป็นโรคที่คุกคามมนุษยชาติที่ร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งในปัจจุบันนี้ เนื่องจากยังเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ด้วยการทานยาต้านไวรัส เพื่อสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป จะดีกว่าไหมถ้าหากเราคิดจะป้องกันโรคนี้ไว้ก่อน ย่อมดีกว่าการรักษาแน่นอนใช่ไหมครับ

เอชไอวีคืออะไร?

เอชไอวี (HIV) ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง สามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการสัมผัสเชื้อโดยตรงผ่านสารคัดหลั่ง เช่น เลือด, น้ำอสุจิ, น้ำเหลือง, และน้ำนมแม่ เอชไอวีเป็นสาเหตุของ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลส์เม็ดเลือดที่จำเป็นของร่างกาย (หรือที่เรียกว่า CD4) ทำให้ระบบภูมิต้านทานล้มเหลว และทำให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อน

การตรวจ เอชไอวี มีกี่แบบ

การตรวจแบบ Anti-HIV​​​​ 

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในช่วงระยะเวลานานกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา โดยการตรวจหาภูมิคุ้มกัน (antibody) ของร่างกายที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองการที่มีเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย สามารถให้ผลได้ใน 1-2 ชั่วโมงหลังการตรวจ ซึ่งผลที่ได้จะเป็นผลที่ย้อนหลังไปประมาณ 1 เดือนก่อนหน้านี้

การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Testing)

การหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี หรือแกนในของเชื้อ เป็นวิธีที่มีความไวที่สุด สามารถชี้วัดผลจากร่างกายย้อนหลังไปประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับความเสี่ยง วิธีนี้ใช้ในการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคโลหิต แต่ยังไม่นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานพยาบาล

การตรวจแบบ Rapid HIV Test

ใช้เวลาในการรอผลเพียง 20 นาทีเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะได้ผลตรวจที่เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ แต่ก็เป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น แม้ว่าผลตรวจจะออกมาเป็นบวก (พบเชื้อ HIV) ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้งด้วยวิธีการอื่นเพื่อยืนยัน

การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี

หรือ เรียกอีกชื่อว่า การตรวจแบบ NAAT – Nucleic Acid Amplification Testing จะทำการตรวจโปรตีนของเชื้อที่ชื่อว่า p24 (HIV p24 antigen testing) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ตรวจการติดเชื้อในระยะแรกที่ผู้ได้รับเชื้อยังไม่สร้างแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV) หรือมีระดับแอนติบอดีที่ต่ำจนไม่สามารถตรวจวัดได้ สามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อประมาณ 14-15 วัน

ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง

HIV Self Testing เป็นอุปกรณ์สำหรับการทดสอบเชื้อไวรัสเอชไอวี ผู้ตรวจจะเก็บตัวอย่างจากเลือดที่ปลายนิ้วเพียง 1 หยด และแปลผลเบื้องต้นด้วยตัวเอง วิธีการตรวจแบบนี้ มีความเป็นส่วนตัว สามารถตรวจที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอดข้าวหรือน้ำแต่อย่างใด รู้ผลภายใน 1 นาที มีความแม่น 99%

ใครบ้างที่ควรไปตรวจ เอชไอวี

  • ผู้ที่ไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย
  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้อื่น
  • ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • ผู้ป่วยวัณโรค
  • มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่
  • การเตรียมพร้อม ก่อนสมรส และก่อนวางแผนตั้งครรภ์

ตรวจเอชไอวี ต้องรอกี่วัน ?

หลักการตรวจเอชไอวี จะขึ้นอยู่กับช่วงระยะฟักตัว หรือ Window Period เป็นช่วงที่หากร่างกายได้รับเชื้อมาแล้วจะสร้างระบบภูมิคุ้มกันออกมาเพื่อต่อสู้กับไวรัส ซึ่งหากระยะเวลาน้อยเกินไปเราก็ไม่อาจตรวจเจอเชื้อเอชไอวี ได้นั่นเอง โดยปกติมักจะใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือนถึงจะตรวจเจอระดับของภูมิคุ้มกันนี้ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งหากคุณตรวจเลือดในช่วงก่อนหน้านี้อาจไม่พบเชื้อเอชไอวี ทั้ง ๆ ที่ความจริงอาจมีเชื้ออยู่ก็ได้

วิธีการตรวจ HIVระยะ Window Periodรู้ผลภายใน
Nucleic Acid Test : NAT5-7 วัน5 วัน
Anti-HIV น้ำยา 4thGen14 วัน1 วัน
Anti-HIV น้ำยา 3thGen21 วัน1 วัน
ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง21 วัน – 3 เดือน1 นาที

ประโยชน์ของการตรวจ เอชไอวี

การตรวจเอชไอวีสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีประสิทธิผลดีขึ้น เป็นก้าวแรกในการเรียนรู้สถานะเอชไอวีของคุณ และเป็นก้าวแรกในการดูแลชีวิตของคุณ โดยการตรวจคุณสามารถมั่นใจได้ว่าคุณได้รับการรักษาโรคอื่นๆ ที่อาจติดเชื้อจากไวรัสเอชไอวี คุณจะสามารถเริ่มการรักษาเอชไอวีได้  การตรวจเอชไอวีไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณควบคุมชีวิตได้ แต่ยังช่วยลดมลทินจากโรคนี้ และช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น

  • สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที
  • ได้รับการรักษา จะทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
  • วางแผนป้องกันคู่ของตนเองติดเชื้อ และชวนคู่ไปตรวจเลือดได้ 
  • วางแผนป้องกันการติดเชื้อไปสู่ลูกได้ 
  • ป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวีได้

สามารถตรวจ เอชไอวี ได้ที่ไหนบ้าง?

คนไทยสามารถตรวจ เอชไอวี ฟรีได้ปีละ 2 ครั้ง เพียงแค่มีบัตรประชาชน ก็สามารถเข้ารับการตรวจได้ เฉพาะโรงพยาบาลรัฐและศูนย์อนามัย คลินิกที่ร่วมโครงการ หรือสามารถเข้ารับการตรวจได้ที่โรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิกได้ ซึ่งแต่ละที่จะมีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันออกไป ค่าบริการประมาณ 500 – 1,000 บาท/ครั้ง และอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่ไม่สะดวกเดินทางไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ ในช่วงที่มีโควิดระบาดอยู่ในตอนนี้ การตรวจด้วย ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง (HIV SELF TEST) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วยให้คุณรู้สถานะเอชไอวีของตัวเองได้เบื้องต้น ช่วยลดความกังวลใจ และทำให้สามารถวางแผนการใช้ชีวิตต่อไปได้สามารถตรวจเองได้ที่บ้าน แม่นยำถึง 99 % และรู้ผลภายใน 1 นาทีเท่านั้นเอง

ปัจจุบันจะมีหน่วยงานต่างๆ ที่คอยช่วยพัฒนาวิธีการตรวจเอชไอวีให้สะดวกสบาย รวดเร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการตรวจ คือ การเตรียมความพร้อมของผู้ตรวจ กล้าที่จะเข้ารับการตรวจ เพราะยิ่งเข้ารับการตรวจได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้คุณสามารถวางแผนการใช้ชีวิตต่อไปได้เร็วขึ้น และ สบายใจขึ้น

สนใจจองคิวตรวจเอชไอวี รับ PrEP, PEP ฯลฯ สะดวก ง่าย และเป็นความลับ ได้ที่ LOVE2TEST จองฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

บทความที่เกี่ยวข้อง